Thursday, July 26, 2007

เมื่อจีนร่ำรวย ไฉนจึงมาเกี่ยวกับค่าเงินบาทไทย?

เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากมายอย่างนี้, ต้องไม่มองเฉพาะปัจจัยเงินดอลลาร์เท่านั้น, แต่ต้องเหลียวไปดูเงินหยวนของจีน และเงินเยนของญี่ปุ่นด้วย

เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากมายอย่างนี้, ต้องไม่มองเฉพาะปัจจัยเงินดอลลาร์เท่านั้น, แต่ต้องเหลียวไปดูเงินหยวนของจีน และเงินเยนของญี่ปุ่นด้วย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ตัวเลขอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนล่าสุด ที่ยังร้อนแรงถึงร้อยละ 11 ประกอบกับดุลการค้าที่ได้เปรียบอย่างสูงกับประเทศคู่ค้าอื่น และเงินสำรองต่างประเทศที่สูงถึงหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ (คูณ 35 เข้าไป จะรู้ว่านี่คือเศรษฐีใหม่)
เงินสำรองระหว่างประเทศของจีนที่สูงมากเช่นนี้อย่านึกว่าไม่เกี่ยวกับไทย...ความจริง หากมองให้ลึกจะเห็นว่าเราต้องเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของจีนในประเด็นอย่างใกล้ชิด
เพราะความร่ำรวยของจีน อาจจะมีผลต่อเงินบาทก็ได้
นักข่าวถามนายกรัฐมนตรีเวินเจียเป่าของจีน เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า เมื่อจีนมีเงินสำรองระหว่างประเทศเต็มกระเป๋าอย่างนี้ จะทำอย่างไรกับเงินทองล้นตู้เซฟอย่างนี้?
เชื่อไหมว่า แทนที่จะคุยโม้โอ้อวดถึงความสำเร็จทางเศรษฐกิจของจีน นายกฯ เวินเจียเป่า กลับตอบอย่างน่าพิศวง (อย่างน้อยก็สำหรับชาวบ้านทั่วไป) ว่า
"นี่แหละเป็นปัญหา...นี่เป็นปัญหาใหม่และปัญหายากสำหรับเรา..."
แปลว่าอะไร? เพราะพอมีเงินเต็มบ้าน สิ่งที่ต้องห่วงก็คือจะทำอย่างไรคุณค่าของเงินสำรองระหว่างประเทศเยอะๆ นั้น จึงไม่เสื่อมราคา?
ตอนยากจน ไม่มีข้าวกินนั้น เงินสกุลไหนของใครจะแข็งหรืออ่อนอย่างไรก็เป็นปัญหาของคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองแต่อย่างไร...แต่พอเริ่มเป็น "อาเสี่ย" แล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ยิ่งมีเงินคนอื่นเขามาเป็นเงินสำรองของเรา เวลาเขาไม่สบาย เสี่ยก็พลอยต้องเดือดร้อนไปด้วย
เป็นที่รู้กันว่า ร้อยละ 70 ของเงินสำรองระหว่างประเทศของจีนวันนี้ ได้เอาไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐ ซึ่งแปลว่าจีน จะชอบหรือไม่ชอบนโยบายของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ก็ตาม ถ้าเงินสกุลดอลลาร์อ่อนปวกเปียก ก็จะพลอยทำให้จีนมีปัญหาไปด้วย
จึงไม่ต้องแปลกใจ ถ้าหากธนาคารกลางจีน จะเริ่ม "กระจายความเสี่ยง" ด้วยการหันไปซื้อเงินสกุลเยนของญี่ปุ่นมาแทนดอลลาร์
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะธนาคารกลางของหลายประเทศที่เผชิญกับปัญหานี้ก็ได้ดำเนินนโยบายนี้มาแล้วเหมือนกัน...เรื่องอะไรจะไปเอาชีวิตไปแขวนเอาไว้กับมะกันแต่เพียงผู้เดียว?
แต่เมื่อลดปัญหาดอลลาร์ ก็ต้องไปเจอปัญหาเยน...เพราะเมื่อใครต่อใครหันไปซื้อเยนแทนดอลลาร์ เยนก็แข็งขึ้นเป็นธรรมดา เพราะความต้องการสูงขึ้น
ไม่ต้องแปลกใจเช่นกันถ้าหากเงินสกุลเยน ซึ่งเพิ่งเจอกับสภาพอ่อนที่สุดใน 20 ปีเมื่อต้นปีนี้ อยู่ดีๆ ก็เกิดอาการแข็งปั๋งขึ้นมา
เพราะธนาคารชาติของจีน และประเทศอื่นหันไปซื้อเงินเยนกันมากขึ้นอย่างชัดเจน...(และไม่ว่าจีนจะชอบนโยบายของนายกฯ ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่นคนใหม่หรือไม่ก็ตาม กระเป๋าสตางค์ใคร ใครก็ต้องปกปักรักษา)
ที่บอกว่าไทยเราต้องจับความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจจีนอย่างตาไม่กะพริบก็ตรงนี้
เพราะเงินบาทนั้น มักจะ "ขี่" ไปกับเงินเยนเสมอ...พอเยนแข็ง บาทก็แข็งตาม และนี่คือหนึ่งในหลายๆ สาเหตุ ที่ทำให้เงินบาทแข็งขึ้นมาเรื่อยๆ จนผู้ส่งออกร้องจ๊ากกันทั้งเมืองขณะนี้
หากเป็นไปตามคำทำนายของนักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์หลายคน เงินสำรองระหว่างประเทศของจีนก็คงจะยังสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะการส่งออกยังคาดว่าจะเฟื่องฟูต่อเนื่อง ซึ่งก็แปลว่าจีนจะกระจายความเสี่ยงของตัวเองด้วยการลดการถือครองอะไรที่เป็นดอลลาร์และหันมาซื้อเยน (กับเงินยูโร) มากขึ้น
และหากเป็นไปตามแนวโน้มเดิมที่ผ่านมา เงินบาทก็จะแข็งตามเงินเยนด้วย
นี่ย่อมตอกย้ำหลักการที่ว่า "ไม่มีข่าวต่างประทศชิ้นไหนไกลตัวคนไทยเลย"...จีนร่ำรวยขึ้น ข้อดีก็คือเขาจะซื้อของเรามากขึ้น และเมื่อเขามีสตางค์มากขึ้น ก็จะส่งคนมาท่องเที่ยวมากขึ้น...
แต่เมื่อเขารวยแล้ว เขาต้องแก้ปัญหาของเขาไม่ให้อิงอยู่กับดอลลาร์มากขึ้น พอหันไปตุนเงินเยน ก็อ้อมมาทำให้เงินบาทแข็งขึ้นตามไปด้วย...ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกลดน้อยลง...และนี่คือวงจรที่ทำให้ทุกอย่างมีความเกี่ยวพันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในเศรษฐกิจโลกวันนี้ ไม่มีอะไรไม่โยงใยกันอีกต่อไปแล้ว...คนไทยจึงต้องสร้างสังคมความรู้ให้เท่าทันคนอื่นๆ ทั้งหมด ชั่วโมงต่อชั่วโมง วันต่อวัน...

0 comments:

Template by : kendhin x-template.blogspot.com