Friday, July 20, 2007

ผลสำรวจสมาคมนักวิเคราะห์ฯ เชื่อมั่นเพิ่มดัชนีหุ้นถึง 880 จุดปลายปี

Wednesday, 18 July 2007
ผลการสำรวจครั้งที่ 3/2550 ของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ พบว่านักวิเคราะห์มีมุมมองที่ดีขึ้นสำหรับการลงทุนในช่วงกลางกรกฎาคม - ธันวาคม 2550 โดยนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมฯ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ล่าสุด เทียบกับผลสำรวจครั้งก่อนเมื่อ 20 เม.ย. 2550 เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงครึ่งหลังของปีนี้



โดยนักวิเคราะห์ปรับประมาณการผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนทั้งปีเติบโตดีขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 4.6 จากร้อยละ 3.2 ในการสำรวจครั้งก่อนหน้า ในขณะที่ตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดย GDP Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 4.3 จากร้อยละ 4 นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ ปลายปี 2550 ไว้ที่เฉลี่ย 880 จุด จากระดับ 731 จุด กลุ่มธุรกิจที่แนะนำให้ลงทุนคือ กลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และพลังงาน รวมทั้งเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่อง

สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงกลางกรกฎาคม - ธันวาคม 2550 ทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้น ความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาล แนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน คาดการณ์อัตราการขยายตัวของกำไรต่อหุ้นของบริษัทในกลุ่มธุรกิจสำคัญ กลุ่มธุรกิจและหุ้นที่แนะนำให้ลงทุน คาดการณ์การซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ และคำแนะนำให้นักลงทุน รวมไปถึงความเห็นเกี่ยวกับกำหนดเวลาเลือกตั้ง การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ และกลุ่มบุคคลที่นักวิเคราะห์อยากเชิญชวนให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความเห็นรวม 19 แห่ง

ปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงกลางเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2550 :

อันดับแรก ที่นักวิเคราะห์ร้อยละ 84 เห็นตรงกัน คือ ปัจจัยทางด้านการเมือง เกี่ยวกับการลงประชามติผ่านร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งที่เป็นไปตามกำหนด

อันดับที่สอง มีผู้ตอบร้อยละ 79 คือ กระแสเงินไหลเข้า โดยมีเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง

อันดับที่สาม คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ที่มีการเติบโตดีขึ้น มีผู้ตอบร้อยละ 58

สำหรับปัจจัยบวกอื่น ๆ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เป็นต้น

ปัจจัยลบที่สำคัญ :

อันดับแรก นักวิเคราะห์ร้อยละ 79 มองตรงกันว่า คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกในระยะถัดไป

อันดับสอง มีผู้ตอบร้อยละ 74 คือ ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งรวมถึง ความไม่แน่นอนทางการเมืองซึ่งเกิดจากความเสี่ยงที่ร่างรัฐธรรมนูญอาจไม่ผ่านประชามติ และอาจทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปตามกำหนด และก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นได้

อันดับที่สาม มีผู้ตอบร้อยละ 42 คือ ราคาน้ำมัน ที่อยู่ในระดับสูง

ยังมีปัจจัยลบอื่น ๆ ที่นักวิเคราะห์บางรายกล่าวถึง ได้แก่ ปัจจัยจากต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐสำหรับลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูง (US subprime) อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่อาจปรับขึ้น ความผันผวนของตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นต้น

จากผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักวิเคราะห์ในการบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบันสำหรับระยะครึ่งปีหลังเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2550 พบว่า ในด้านเศรษฐกิจ นั้น นักวิเคราะห์ร้อยละ 67 มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยมีนักวิเคราะห์จำนวนเท่ากันที่ร้อยละ 17 มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมากและเชื่อมั่นเท่าเดิม สำหรับในด้านสังคมและการเมือง นักวิเคราะห์ร้อยละ 50 เชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยมีร้อยละ 33 เชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมาก และมีความเชื่อมั่นเท่าเดิม ร้อยละ 17

มาตรการสำคัญที่นักวิเคราะห์เสนอแนะให้รัฐบาลทั้งชุดปัจจุบันและชุดหน้า ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของเศรษฐกิจโดยรวม อันดับแรก คือ มาตรการด้านเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการเร่งดำเนินโครงการขนาดใหญ่ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค และเร่งการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีผู้ตอบร้อยละ 71 อันดับที่สอง มีผู้ตอบร้อยละ 29 คือ มาตรการส่งเสริมการลงทุน โดยแนะรัฐให้ออกมาตรการกระตุ้นการลงทุน รวมทั้งมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการลงทุนของต่างชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน นักวิเคราะห์อีกร้อยละ 24 ยังแนะให้รัฐบาลมี มาตรการเกี่ยวกับค่าเงินบาท เป็นอันดับสาม โดยควรดำเนินนโยบายเกี่ยวกับค่าเงินบาทอย่างรอบคอบ ระมัดระวังและลดความผันผวนของค่าเงิน

จากการที่รัฐบาลคาดการณ์วันเลือกตั้งไว้ภายในปลายปีนี้นั้น นักวิเคราะห์ร้อยละ 56 ของที่ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ ในขณะที่ร้อยละ 44 มองว่าการเลือกตั้งอาจมีการเลื่อนออกไปเป็นมกราคม – กุมภาพันธ์ 2551

ทั้งนี้ หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติที่จะมีขึ้นประมาณกลางเดือนสิงหาคมนี้ สมาคมนักวิเคราะห์ฯ พบว่า นักวิเคราะห์ร้อยละ 90 คิดว่าจะมีผลกระทบทางลบต่อทิศทางราคาหุ้น เนื่องจากจะทำให้การเลือกตั้งล่าช้าออกไป ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและอาจมีความวุ่นวายเกิดขึ้น

สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ยังได้สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ถึงกลุ่มบุคคลที่อยากให้ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งหน้านี้เพื่อประโยชน์ของประเทศ และพบว่านักวิเคราะห์อยากให้มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งกระจายอยู่ครอบคลุมทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองอาชีพ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ นักธุรกิจ นักบริหารยุคใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ รวมไปถึงผู้แทนจากกลุ่มเกษตรกรหรือระดับรากหญ้า

จากการสำรวจครั้งนี้ สมาคมนักวิเคราะห์ฯ พบว่า นักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการตัวเลขต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่จากการสำรวจเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยตัวเลขสำคัญสำหรับทั้งปี 2550 คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth เฉลี่ยอยู่ที่ 4.3% สูงขึ้นจากเดือนเมษายนซึ่งอยู่ที่ 4.0% ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth เฉลี่ยก็ปรับขึ้นจากเดิม 3.2% เป็น 4.6%
สำหรับตัวเลขสำคัญ ณ สิ้นปี 2550 นักวิเคราะห์คาดว่า ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้เดิม โดยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ. ณ สิ้นปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 34 บาท จากเดิมที่คาดไว้ 35.2 บาท สำหรับอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ในปลายปีนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.3% ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เล็กน้อย ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET Index สิ้นปีนี้เฉลี่ยน่าจะปรับตัวสูงขึ้นมาก คือ อยู่ที่ 880 จุด จากเดิม 731 จุด โดยมีสำนักวิจัยที่พยากรณ์ดัชนีสิ้นปีสูงสุดที่ 950 จุดและสำนักวิจัยที่คาดการณ์ดัชนีวันสิ้นปีไว้ต่ำที่สุดที่ 740 จุด นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ ปลายปีหน้า 2551 น่าจะปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอยู่ที่เฉลี่ย 1,033 จุด
ตารางที่ 1 - ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจ


ค่าเฉลี่ย ตัวเลขของผู้คาดการณ์สูงสุด ตัวเลขของผู้คาดการณ์ต่ำสุด จำนวนสำนักวิจัยที่ตอบ
สำรวจ ณ 20 เมย.50 สำรวจ ณ 13 กค.50 สำรวจ ณ 20 เมย.50 สำรวจ ณ13 กค.50 สำรวจ ณ 20 เมย.50 สำรวจ ณ13 กค.50 สำรวจ ณ 20 เมย.50 สำรวจ ณ13 กค.50
รวมทั้งปี 2550
GDP Growth 4.0 4.3 4.6 5 3.7 3.9 20 19
EPS Growth 3.2 4.6 13.0 10.9 -7.3 -3.5 17 18
ณ สิ้นปี 2550
SET Index 731 880 770 950 700 740 22 18
FOREX Bht:US$ 35.2 34 36.5 35 34 32.5 21 18
ดอกเบี้ย RP 1 วัน 3.5 3.3 4.0 3.5 3 3 21 18
ณ สิ้นปี 2551
SET Index - 1,033 - 1,200 - 920 - 14
ในส่วนของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ ประเมินจากอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ จากผลที่ได้จากแบบสอบถาม พบว่า กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ยังคงมีอัตราการเติบโตสูงสุด โดยมีค่าเฉลี่ย EPS Growth ที่ร้อยละ 34.5 อันดับสองคือ ธนาคาร เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 14.7 อันดับต่อมาคือ กลุ่มปิโตรเคมี เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 11.1
ตารางที่ 2 - EPS Growth (%) แยกตามกลุ่มธุรกิจ
กลุ่มธุรกิจ ค่าเฉลี่ย จำนวนสำนักวิจัยที่ตอบ
อสังหาริมทรัพย์ 34.5 14
ธนาคาร 14.7 14
ปิโตรเคมี 11.1 14
เดินเรือ 4.5 11
วัสดุก่อสร้าง 1.2 15

นักวิเคราะห์ที่ตอบแบบสอบถามเกือบทั้งหมด คือร้อยละ 95 มองว่าในครึ่งหลังของปีนี้ นักลงทุนต่างชาติจะยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่องจากกลางกรกฎาคม โดยมีเหตุผลหลักคือ ราคาหุ้นไทยยังถูกเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค ประกอบกับมีกระแสเงินไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย

0 comments:

Template by : kendhin x-template.blogspot.com