Sunday, July 22, 2007

เยือนไทยพลัดถิ่นในพม่า --> วันแห่งการรอคอย

ฝนยังตกพรำ ๆ มาตั้งแต่เช้า พวกเรานั่งรอนอนรอไปจนถึง ๑๑ โมงซึ่งเลยเวลาเที่ยวบิน เครื่องบินยังไม่มา และมีข่าวแว่วมาว่า เครื่องบินลงไม่ได้ เราทนรอ ระหว่างที่รอ มีโอกาสพูดคุยกับคนไทย คนหนึ่งอายุประมาณ ๕๐ เศษ อีกคนอายุระหว่าง ๓๐-๔๐ คนอายุมากทำประมง คนอายุน้อยทำอะไรไม่ได้สอบถาม เรารู้จักซื่อคนที่มีอายุมากในภายหลังว่าชื่อโกคิน
เราแปลกใจจึงถาม “ทำไมพูดไทยได้” ชายทั้งสองตอบ “เพราะเกิดที่เกาะสอง” ซึ่งเป็นคำตอบเดียวกับคำตอบเจ้าหน้าที่สนามบินเกาะสองเมื่อ ๒ วันก่อน

ชายอายุน้อยเล่าว่า “มะริด มะลิวัน เกาะสอง เดิมเป็นของไทย มีประวัติเขียนไว้ บนเกาะที่มีพระนอน พระนอนสร้างใหม่ วัดเดิมเป็นวัดไทย ประวัติเขียนไว้… มะลิวัลย์กับเกาะสองเดิมมีคนไทยกับมุสลิม พม่าอพยพเข้าทีหลัง พม่ามาจากภาคเหนือ ภาคเหนือขาดความอุดมสมบูรณ์ จึงอพยพมาอยู่ภาคใต้…

“เดิมคนไทยอยู่ที่มะลิวัลย์ ตอนหลังย้ายมาเกาะสอง คนระนอง เกาะสอง มะลิวัลย์เป็นพี่น้องกัน ไปมาหาสู่กันตลอด เมื่อทำบัตร คนระนองก็ทำบัตรไทย คนฝั่งนี้ก็ทำบัตรพม่า...

ก่อนหน้านี้ “ไปมาหาสู่กันสะดวก ไม่ต้องทำบัตร ไม่ต้องตรวจมาก เขียนแค่ชื่อเท่านั้น ฝั่งไทยก็ยังไม่ทำบัตร ไม่ต้องทำวีซ่า ใบผ่านทาง วีซ่าและใบผ่านทางพึ่งมาทำตอนหลัง ตอนพลเอกเชาวลิต [ยงใจยุทธ] เป็นนายกรัฐมนตรี มาเจราจาตกลงกับผู้นำพม่า การตรวจบัตรจึงมากขึ้น เข้มขึ้น”

ชายทั้งสองเป็นบาบาร์ไทย-จีน โกคินมีญาติอยู่กระบุรี ปู่อยู่ที่ตลาดแขก ระนอง คนอายุน้อยมีลูก ๒ คน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง แม่เป็นพม่า แต่ลูกสาวพูดไทยได้ เพราะชอบดูทีวีไทย

โกคินบอก “ปัจจุบัน คนเกาะสองพูดไทย เป็นคนไทยและบาบาร์ยังมีมาก ไทยมะริดดั้งเดิมในมะริดไม่มีแล้ว คนในมะริดที่พูดไทย เป็นคนที่มาจากเกาะสองหรือที่อื่น คนไทยดั้งเดิมถูกกลืนไปแล้ว ปัจจุบัน คนทวาย คนตะนาวศรี ที่เป็นคนไทยยังมีอยู่ แต่น้อย”

คุยยังไม่จบโซบอกให้เรานำกระเป๋าไปตรวจ เพื่อรอการบิน เจ้าหน้าที่สนามบินตรวจคล้ายกับที่สนามบินเกาะสอง แต่โชคดีเราไม่โดนตรวจทั้งกระเป๋าและร่างกาย ตรวจเสร็จ เข้าไปนั่งรอด้านใน โซยังเฝ้ารอพวกเราอยู่ข้างนอก
ระหว่างรอเครื่องบิน กังสงสัยว่าเครื่อง X-Ray สนามบินพม่าใช้การได้หรือไม่ เพราะกระเป๋าของเชษฐ หัวแพรมีมีดยาวอยู่เล่ม แต่เครื่องตรวจไม่มีปฏิกริยาใด ๆ “สงใสเป็นเครื่อง X-ray หลอก” กังสรุป

ผ่านไป ๑ ชั่วโมง ฝนยังตกไม่หยุด พวกเราลุ้นให้เครื่องบินลง “มันบินมาดูสนามแล้ว” เดี๋ยวคงบินกลับมาลงจอด” โกคินบอกกับเรา เราใจชื้น

แต่เครื่องบิน บินไปตั้งหลักเป็นเวลานาน เรานั่ง นอน ยืนรอ รอ...รอ...และรอเครื่องบินไปจนถึงบ่ายโมง เจ้าหน้าที่สนามบินมาแจ้งว่า เครื่องบินไปลงที่เกาะสองแล้ว

โซสีหน้าวิตกกังวล และเชิญให้เรากลับออกมาจากห้องพัก

ออกมาถึงพวกเราถามโซถึงเที่ยวบินอื่น ๆ และเรือ โซบอก “เรือวันนี้ไม่มี พรุ่งนี้ก็ไม่มี ต้องรอถึงวันอาทิตย์ เที่ยวบินจะมีอีกทีก็วันจันทร์” พวกเราหมดแรง

“บริษัทการบินจะรับผิดชอบผู้โดยสารอย่างไร เขาจะเช่าโรงแรมให้ผู้โดยสารหรือไม่” กังถาม โดยยึดแบบแผนปฏิบัติของสายการบินในไทย

โซตอบ “ไม่ เครื่องบินลงไม่ได้เป็นเรื่องปกติในพม่า ผู้โดยสารต้องรับผิดชอบตนเอง”
“ไหนว่านักบินพม่าเก่ง ทำไมไม่น้ำเครื่องบินลง” เรานึกในใจ
“นึกถึงการบินไทย” เชษฐ์เปรย
“นึกถึงอะไร เห็นผิดเวลา ๒๐ หรือ ๓๐ นาทีก็ด่าเขา” เราเย้า

โซให้เรารอที่สนามบิน เขาเดินไปโทรศัพท์ให้รถคันเดิมมารับ รถมาแล้ว แต่คนขับเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่สนามบิน และกลับออกมา โซบอกว่าคนขับเป็นตัวแทนขายตั๋วเครื่องบิน เขาให้ความหวังว่า เครื่องบินเที่ยวย่างกุ้ง-เกาะสองจะแวะเติมน้ำมันที่มะริด เขาจะจัดการเรื่องเดินทางให้

โซพาเรากลับไปกินอาหารเที่ยงตอนบ่ายที่ร้านยะดานา อาหารมื้อนี้กินอย่างไรก็ไร้รส กินเสร็จเราได้แต่รอ...รอ...และรอ โซบอกว่าเดี๋ยวจะมีตัวแทนบริษัทขายตั๋วมาบอก ในที่สุดเด็กหนุ่มที่เป็นตัวแทนบริษัทขายตั๋วก็มา พูดกับโซเป็นภาษาพม่า

พวกเราจับจ้องการพูดคุยตาไม่กระพริบและลุ้นตัวโก่ง เชษฐ์ลุ้นหนักกว่าเพื่อน พร้อมพูดลุ้นสุดตัว “อย่าผายมือ อย่างผายมือ อย่าผายมือซี”

เหมือนถูกลุ้น ตัวแทนขายตั๋วผายมือตามจังหวะการห้ามของเชษฐ์

“เครื่องบินลงที่เกาะสองแล้ว” คือคำตอบสุดท้ายของโซ พวกเรานั่งนิ่ง ยิ้มไม่ออก ครู่ใหญ่โซถาม “เอากาแฟไหม” เราบอก “ไม่...จะไปนอน”

ระหว่างนั่งรถกลับโรงแรมเดิม โจ้เสนอให้โซเจรจากับลิ โซ อนุญาตให้เราบินไปย่างกุ้งและบินต่อไปกรุงเทพ ฯ
กลับถึงโรงแรม เราและกังได้ห้องพักเดิม โจ้และเชษฐ์ย้ายมาอยู่ห้อง ๔๐๒ ติดห้องเรา

บ่าย ๓ โมงแล้วเราได้แต่รอ...รอ...และรอ รอข่าวจากโซ ส่วนกังหลับไปแล้ว นอนพักอยู่ชั่วครู่ โจ้มาเคาะประตูเรียกให้ไปห้อง

ไปถึงห้อง เชษฐ์และโซรออยู่แล้ว ทั้งสามคนบอกว่าเรา ต้องอยู่มะริดต่ออีก ๓ วันเพราะตม. ไม่ให้เดินทางไปย่างกุ้ง เครื่องบินอีกทีในวันพุธหน้า เราบอกว่าส่วนตัวไม่มีปัญหา ปัญหาใหญ่คือ พวกเราไม่มีเงินอยู่ถึงวันพุธ
คุยไปคุยมาโซถาม “เรือไปไหม เรือมีพรุ่งนี้เช้า ที่นั่งไม่พอ” เราบอก “ไม่เป็นไร สลับกันนั่ง รีบไปชื้อตั๋ว”

ท้ายสุดโซ โจ้ เชษฐ์บอกว่า “มีเรือพรุ่งนี้ ๗ โมง ตั๋วชื้อแล้ว ที่นั่งครบ” เรานึกในใจ “แมร่งโดนอำ”
“พรุ่งนี้เรือจะออกแน่นอน มีฝรั่งไปด้วย ๓ คน” โซบอก

เวลาเกือบ ๔ โมง โจ้กับเชษฐ์บอก “หลับไม่ลง จึงมาชวนไปเดินดูท่าเรือ” ถึงท่าเรือทวาย มะริด เกาะสอง เดินลงไปเล่นที่ท่าเรือ มีเรือข้ามฟากจากเกาะที่บาบาร์บอกตอนอยู่สนามบินว่า “เป็นวัดเก่าของไทย” เข้ามาเทียบฝั่ง
เราเดินเข้าไปถามคนขับจักรยานยนต์รับจ้าง ที่ลงมาท่าเรือด้วยภาษามือ “ใช่เรือข้ามฟากหรือไม่” เขาตอบ “ใช่” บอก “เมียเป็นคนไทยเลยพูดไทยได้นิดหน่อย”

ช่วงที่คุยนั้น ลุงแขกฮินดูเข้ามาร่วมคุยด้วย เราดีใจ “คงได้คุยภาษาอังกฤษ” แต่แขกฮินดูพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง เราพูดกับลุงแขกว่า “ปกติคนแขกพูดอังกฤษได้ดี ทำไมลุงพูดไม่คล่อง” “เป็นฮินดู อยู่ในพม่า” แกว่า

จากนั้นขึ้นจากท่าเทียบเรือกลับเข้าสู่ตัวเมือง เดินเลียบถนนทางด้านตะวันออกของวัดประจำเมือง บ้านที่อยู่ใกล้วัดกำลังทำขนมโค เรียกให้เราไปกินด้วย รวมทั้งให้ชิมสลัดมะละกอ เรากินแต่ขนม พร้อมพูดคุยกับชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่กำลังอยู่ในวัยหนุ่มสาวและส่วนใหญ่เป็นพวกบาบาร์ จีนผสมพม่า

ระหว่างกิน หนุ่มพม่า ๓ คนเดินมา เจ้าของบ้านเชิญชวน ชายทั้งสามนั่ง เรานั่งคุย หนุ่มพม่าคนหนึ่งรู้ว่าเราเป็นคนไทยเลยคุยด้วย เขาเป็นพม่า เกิดที่มะริด แต่เคยเดินทางไปทำงานในประจวบฯ กว่า ๑๖ ปีจึงพูดภาษาไทยได้แคล่วคล่อง

ก่อนจากลาเราขอที่อยู่ของเด็กกลุ่มนั้น บอกจะส่งรูปมาให้ เด็กคนหนึ่งถามพวกเรามาทำอะไร เราบอกว่ามาศึกษาวัฒนธรรมไทยในพม่า เราอ้างประวัติศาสตร์ว่า “ศตวรรษที่ ๑๗ มะริดเป็นส่วนหนึ่งของไทย” เด็กคนนั้นถาม “จะมาเอาแผ่นดินตรงนี้คืนหรือ” เราบอก “ไม่ แค่มาศึกษา” ในใจคิดว่า “นายมองคนผิดแล้ว อย่าว่าแต่เอาแผ่นดินคืนเลย แค่ขอคืนสัญชาติให้ไทยพลัดถิ่นยังไม่มีปัญญา”

บอกลาเด็กกลุ่มนั้น แล้วเดินกลับโรงแรม พักครู่หนึ่งก็เดินทางไปกินข้าวในที่ที่โซเรียกว่าแบล็ก มาร์เก็ต แต่ที่จริงคือตลาดกลางคืน เปิดขายประมาณ ๖ โมงถึง ๔ ทุ่ม ทุกวัน

พื้นที่ของตลาดกลางคืนก็คือถนนเรียบอ่าวมะริด พ่อค้า แม่ค้าจำนวนมาก นำของมาขาย หลายหลาก เช่น อาหาร เสื้อผ้า เทป วีซีดี บริการสักยันต์ ชา กาแฟ และอื่น ๆ

เรากินอาหารในตลาดกลางคืน กินแบบผู้ดีตกยาก ไม่เหมือนกับวันก่อน ๆ วันก่อน ๆ เชษฐ หัวแพร ในฐานะผู้ถือเงินของกลุ่ม โม้ว่า “แมร่ง เงินเป็นฟ่อน ๆ เป็นเศรษฐีในพม่า” โม้แล้วเขาก็หัวเราะเสียงแหบ ๆ เหมือนรถสตาร์ทไม่ติดอย่างเคย

“วันนี้ทำไมเชษฐ หัวแพร ไม่ไปกินข้าวร้านอาหารวะ เบียร์ก็ไม่สั่ง เลือกมากินข้าวข้างถนน เหมือนพจมานตอนตกยาก” เรานึกในใจ

กินข้าวเสร็จ พวกเราเดินตลาดกลางคืน แล้วเดินกลับมาเส้นทางเดิม ผ่านกลุ่มเด็กใจดีกลุ่มเดิม และมายืนอยู่ตรงถนนเพื่อชมแสงไฟ และความสวยงามของวัดใหญ่ประจำเมืองในยามค่ำคืน

วันนั้นเป็นวันออกพรรษา ผู้คนทั้งเมืองร่วมใจกันทำบุญ เดินผ่านบ้าน ร้านรวงต่าง ๆ ต่างประดับโคมไฟและแสงเทียนกันทั้งเมือง ตามถนนหนทางชาวบ้านเปิดร้านเลี้ยงแขก เลี้ยงผู้คนที่เดินผ่านไปมา ดูชาวบ้านน่ารักดี แต่พระพม่าไม่น่ารักเท่าไร ตอนเรามานั่งกินนขนมที่เด็กและน้องสาวใจดีเลี้ยง พระมายื่นหยุดตรงพวกเรา เพรียกหาเงินตราเสียงแข็ง “มันนี่ มันนี่ มันนี่”

โซบอกว่า “คนพม่าให้ความสำคัญมากกับการทำบุญ”

เราตอบ “คงดุจเดียวกับเมืองไทยเมื่อ ๕๐ – ๖๐ ปีก่อน แต่สิ่งที่เราเรียกว่าการพัฒนา ได้ทำให้สิ่งเหล่านี้สูญสลาย”

0 comments:

Template by : kendhin x-template.blogspot.com