Wednesday, 23 May 2007
ยิ่งระยะเวลาของตราสารหนี้ยิ่งสั้นก็มีความเสี่ยงน้อยลง เนื่องจากเราสามารถเปลี่ยนไปลงทุนใหม่ตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นได้เร็วๆ หรือถ้าจะมองอีกมุมหนึ่ง ก็เหมือนกับว่าเราลอยตัวไปอัตราดอกเบี้ยแทนที่จะไปติดกับอัตราดอกเบี้ยเดิมเป็นเวลานานๆ
ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนสภาพมาเป็นช่วงขาขึ้น และดูเหมือนว่าจะขี้นไปเรื่อยๆ อีกระยะหนึ่งอย่างนี้ ก็ย่อมจะมีทั้งผลประโยชน์ (สำหรับคนที่มีเงินเหลือ) และเป็นแรงกดดัน (สำหรับคนที่มีต้องกู้ยืม) ซึ่งต่างจากช่วงที่ผ่านมาที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจ และเพิ่งมาเริ่มเงยหัวขึ้นเร็วๆนี้ โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ เพราะนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ยังเชื่อว่า อัตราดอกเบี้ยของไทยยังคงจะต้องขึ้นต่อไปอีก เพราะสภาวะทางเศรษฐกิจของไทยที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ซี่งมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งต้องควบคุมภาวะเงินเฟ้อด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ภาวะดอกเบี้ยของเราก็ยังผูกพันกับการขึ้นดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกา และอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งในปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยของเรายังคงไล่ตามไม่ทัน เลยทำให้หลายคนเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยยังต้องขึ้นอีก สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆท่านๆ ก็ย่อมจะต้องระวังและหาประโยชน์สูงสุดจากช่วงนี้ โดยศึกษาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในการลงทุนในประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน หุ้น กองทุน และตราสารหนี้
ในประเภทแรก คือการลงทุนในหุ้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวสูงขึ้น ถ้าบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่มีการกู้ยืม ก็จะมีต้นทุนทางการเงิน คือ ภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ก็จะมีผลให้กำไรลดน้อยลง ดังนั้น ในช่วงนี้ เราถึงได้เห็นบริษัทที่มีแผนการใช้เงินเพื่อการลงทุนหันมาระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้กันเต็มไปหมด เพราะทุกคนก็รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยกำลังปรับตัวขึ้น ในเมื่อมีแผนใช้เงินที่แน่นอนก็ต้องรีบหาเงินที่มีต้นทุนที่ยังพอรับได้ ณ ขณะนี้ไว้ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นสูงกว่านี้ ก็ถือว่าเป็นการล๊อคต้นทุนเงินในระยะยาวไว้ก่อน ในทางกลับกัน บริษัทที่มีสถานะเงินสดเหลือ ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสิน ก็จะได้รับประโยชน์ คือ รายได้ดอกเบี้ยรับ เพิ่มสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นก็ลองไปดูถามโบรกเกอร์ว่าบริษัทไหนที่มีสถานะเป็น Net Cash Position ก็จะรับประโยชน์ในเรื่องนี้ ส่วนหุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ต้องจับตาดูก็คือ กลุ่มสถาบันการเงิน เพราะหุ้นกลุ่มนี้ ถ้าสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินได้ดี ล็อคต้นทุนเงินที่จะปล่อยกู้ไว้ได้ที่ระดับต่ำ (อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ให้แก่ผู้ฝากเงิน) แล้วไปปล่อยกู้ตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ก็จะสามารถได้กำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Interest rate spread) ที่กว้างขึ้นได้
นอกจากนี้ ในส่วนของผู้ลงทุนเอง พออัตราดอกเบี้ยขึ้น พวกนักเก็งกำไรที่กู้ยืมมาเล่นในบัญชีมาร์จิ้น ก็ย่อมจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น หรือ นักลงทุนก็มีทางเลือกที่จะไปลงทุนประเภทอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า แต่ก็ได้ผลตอบแทนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่คุ้มก็จะไม่ค่อยอยากเข้าไปลงทุน หรือตัดสินใจขายหุ้นออกไปเสีย แทนที่จะแบกต้นทุนดอกเบี้ย ตามทฤษฏี หุ้นก็เลยมักจะตก เมื่อดอกเบี้ยขยันขึ้นเหลือเกิน
ประเภทที่สอง สำหรับคุณๆ ที่ลงทุนในบรรดากองทุนต่างๆ ก็ย่อมจะได้รับผลกระทบในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นเหมือนกัน ถ้าเป็นกองทุนหุ้น ก็จะต้องดูเหมือนๆกับผลที่จะเกิดกับการลงทุนในหุ้นโดยตรง แต่ถ้าเป็นกองทุนที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ หรือเงินฝากด้วย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนแบบผสม หรือ กองทุนตราสารหนี้ หรือจำพวก Money Market ก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น เพราะกลายเป็นว่า ตราสารหนี้ที่กองทุนถืออยู่อาจจะด้อยค่าลง ถ้าบริหารจัดการไม่ดี (เพราะดอกเบี้ยใหม่ในตลาดสูงกว่า ที่ระดับความเสี่ยงเท่าๆกัน) ซึ่งอาจมีผลให้ราคาตลาดที่ซื้อขายกันของตราสารหนี้ลดลง ตรงนี้ กองทุนซึ่งต้องคำนวณมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (Net Asset Value – NAV) ทุกวัน ก็ต้องมีการ Mark to market คือคิดมูลค่าของกองทุนตามราคาตลาด ซึ่งถ้าดอกเบี้ยขึ้นเยอะๆ แต่ในพอร์ตมีแต่ทรัพย์สินที่มีดอกเบี้ยเก่าที่ต่ำกว่า กองทุนก็จะต้อง Mark down คือต้องปรับลดลง เหมือนกับขาดทุนนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ก็เข้าใจปัญหานี้ดี และเชื่อว่ามีผู้ลงทุนไม่น้อยที่ไม่ได้สนใจเรื่องราคาตลาด แต่อยากลงทุนเพราะอยากได้ผู้จัดการกองทุนช่วยเลือกลงทุนให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่น่าพอใจ แล้วก็ถือไปจนครบอายุในลักษณะคล้ายๆกับการฝากเงินประจำ เพราะฉะนั้น ช่วงนี้ เราจึงได้เห็นกองทุนจำนวนพอสมควรที่ออกมาเป็นลักษณะกองทุนปิด คือไม่สนใจราคาตลาดที่เปลี่ยนแปลง เน้นแต่เพียงอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับเท่านั้น ส่วนที่ว่ากองทุนนั้นจะไปลงทุนประเภทไหน ก็มีให้เลือกไม่ว่าจะเป็นเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลให้เซฟสุดๆ หรือผสมกับหุ้นกู้ของบริษัท ฯลฯ นอกจากนี้ กองทุนเหล่านี้ก็จะเน้นการลงทุนในช่วงระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น คือ ประมาณหกเดือนถึงหนึ่งปี ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยนั่นเอง เพราะยิ่งระยะเวลาของตราสารหนี้ยิ่งสั้นก็มีความเสี่ยงน้อยลง เนื่องจากเราสามารถเปลี่ยนไปลงทุนใหม่ตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นได้เร็วๆ หรือถ้าจะมองอีกมุมหนึ่ง ก็เหมือนกับว่าเราลอยตัวไปอัตราดอกเบี้ยแทนที่จะไปติดกับอัตราดอกเบี้ยเดิมเป็นเวลานานๆ
ในด้านการลงทุนประเภทที่สาม คือ การลงทุนในตราสารหนี้ จำพวกหุ้นกู้ พันธบัตร ตั๋วเงิน ฯลฯ เรื่องที่นักลงทุนมักจะให้ความสำคัญก็คือ ความเสี่ยงที่คนที่กู้เงินเราไปแล้วไม่มีปัญญาจ่ายดอกเบี้ย หรือเงินต้น คืนให้กับผู้ให้กู้ ซึ่งก็คือผู้ลงทุนนั่นเอง โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ถ้าขึ้นไปมากๆ ท่านที่มีหุ้นกู้ของบริษัทที่มีเครดิตไม่ค่อยดี (ซึ่งเวลาออกหุ้นกู้ หรือขอเงินคนอื่นมาใช้ ก็จะต้องเสนอเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าคนอื่น) ก็อาจจะหนาวๆร้อนๆ ว่าจะมีบริษัทจะมีเงินมาจ่ายภาระดอกเบี้ยหรือไม่ หรือเมื่อครบกำหนดจะมีเงินมาใช้หรือเปล่า
ถ้าเราไปดูเรื่องของผลตอบแทนในการลงทุนในตราสารหนี้ ก็จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าบริษัทยังอยู่ในสถานะที่มั่นคง แต่พออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ก็จะทำให้หุ้นกู้ที่เราถืออยู่มีคุณค่าน้อยลง เช่น ตอนที่เข้าไปซื้อหุ้นกู้เมื่อต้นปี ได้รับอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี แต่ตอนนี้ ถ้าไปซื้อหุ้นกู้ที่ออกใหม่ อาจจะได้รับอัตราดอกเบี้ย 4.5% ต่อปี ซึ่งถ้าเกิดคุณเอาหุ้นกู้ที่มีอยู่ไปขายก่อนครบกำหนด คนซื้อก็ย่อมต้องการอัตราดอกเบี้ย 4.5% ซึ่งก็แปลว่าคุณต้องขายลดราคา หรือราคาหุ้นกู้จะปรับตัวลดลงนั่นเอง ตรงนี้ มีข้อยกเว้นนิดนึงนะครับว่า ถ้าคุณแฮปปี้กับอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับในหุ้นกู้หรือพันธบัตรที่ลงทุนไปแล้วถือไว้จนครบกำหนด ก็ไม่มีอะไรเสียหาย ในเรื่องขาดทุนที่ว่า อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะพลาดโอกาสในการไปลงทุนใหม่ๆที่ให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าได้ (เรียกว่า Reinvestment หรือ Interest on Interest) ก็เหมือนๆกับ การไปฝากเงินประจำช่วงยาวๆแหละครับ พอผ่านไปช่วงหนึ่งปรากฎว่า ดอกเบี้ยเงินฝากช่วงสั้นๆ เกิดเพิ่มขี้นมาจนไล่ทัน หรือแซงไป ก็จะรู้สึกเสียดายและเสียใจที่ไม่สามารถย้ายเงินไปฝากในที่ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือไม่มีข้อบังคับให้ฝากเงินนานๆจนขาดความคล่องตัว เพราะฉะนั้น ได้ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างนี้ ก่อนลงทุนก็ควรจะมั่นใจว่าดอกเบี้ยที่ได้รับ ได้อัตราที่สูงมากๆจนของใหม่ไล่ไม่ทัน หรือที่ได้รับสบายใจแล้ว ไม่ว่าข่างนอกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็สบายใจพอเพียงกับที่ได้รับอยู่และไม่มีปัญหาว่าอาจจะต้องขายก่อนครับกำหนด
Posted by kriengchai at 10:51 AM in Uncategorized
GoogleCyberSearch
Shared Items
Labels
- ႐ႊင္ျမဴးစရာ (3)
- Agri and Fishery (11)
- Art and Literature (2)
- Dhamma - Beliefs (7)
- Earth-Weather-Travel (8)
- Economy-Business-Finance (22)
- Energy (4)
- Fun/Humor (10)
- General (1)
- Health (3)
- History - Politics (11)
- Ideas - Opinions (6)
- IT (22)
- Life Style (7)
- Local (21)
- Society - Community (1)
- Technology (14)
- Travel (4)
- การเกษตร (2)
- ขำขัน (8)
- ท่องเทียว (4)
- เทคโนโลยี (11)
- เทคโนโลยี-วิทยาศาสตร์ (3)
- ธุรกิจ (4)
- บ้า้นและครอบครัว (1)
- ประวัติศาสตร์ (2)
- ปรัชญา - ธรรมะ (10)
- พม่า (11)
- พลังงาน (5)
- ระีนอง - เกาะสอง (25)
- เศรษฐกิจ (10)
- สังคม (9)
- สัตว์น้ำและอาหารทะเล (10)
- สุขภาพ - อาหาร (12)
- ကမၻာေျမ (2)
- က်န္းမာေရး (8)
- ခရီးသြားျခင္း (5)
- စားဝတ္ေနေရး (8)
- စာေပ၊ ယဥ္ေက်းမႈ (5)
- စီးပြား၊ကုန္သြယ္ (32)
- စုိက္ပ်ဳိးေရး (6)
- ဓမၼ - ဂမၺီရ (5)
- မိုးေလဝသ (1)
- ျပည္ျမန္မာ (13)
- လူမႈဘဝ (8)
- သိပၸံႏွင္႔နည္းပညာ (16)
- သီခ်င္းမ်ား (2)
- အေတြးအျမင္ (6)
- အေထြေထြ (8)
- ေဒသသတင္း (24)
- ေရလုပ္ငန္း (14)
- ႏိုင္ငံေရး (11)
Contact to Blogmaster at kawthaung@gmail.com
Vistors Stats
Friday, July 13, 2007
ลงทุนช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
Labels: Economy-Business-Finance, ธุรกิจ, เศรษฐกิจ
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
Kawthaung Glimpse 2008
Blog Archive
-
▼
2007
(201)
-
▼
July
(42)
- Martyrs' Day - Fading Memories
- Tropical Cool: How cold that night sky
- คุณลักษณะของผีไว้เป็น Standard Night Time Ghost หร...
- เมื่อจีนร่ำรวย ไฉนจึงมาเกี่ยวกับค่าเงินบาทไทย?
- ျမဝတီနယ္စပ္ကဏန္းအေရာင္းကုန္စည္ဒိုင္ဖြင့္လွစ္ရန္ စီစဥ္
- ပုိႛကုန္သၾင္းကုန္လုပ္ငန္း ရႀင္ မဵားအေနဴဖင့္ နယ္စပ္...
- Just Fun
- Evidence of Global Warming
- เยือนไทยพลัดถิ่นในพม่า --> คนไทยในมะลิวัลย
- เยือนไทยพลัดถิ่นในพม่า --> วันแห่งการรอคอย
- เยือนไทยพลัดถิ่นในพม่า
- All about blood
- Top Antivirus Performers
- Hacker hack Thailand MICT Page, replaced with Ex-P...
- ผลสำรวจสมาคมนักวิเคราะห์ฯ เชื่อมั่นเพิ่มดัชนีหุ้นถ...
- စမ္းသပ္ခဲ့မႈအရ ျမန္မာ့ ပင္လယ္ျပင္တြင္ ငၝးမဵားအား တ...
- ေကာ့ေသာင္းနယ္စပ္ကုန္သြယ္ေရးစခန္း၏ ကုန္သြယ္မႈပမာဏႏႈ...
- ေမာင္ေတာေဒသ ငါးပုစြန္ဒုိင္လုပ္ငန္းအေၾကာင္းတစ္ေစ့တစ...
- ေကာ့ေသာင္းမွာလည္း ငါးေလလံေစ်းႀကီးဖြင့္ေတာ့မည္
- ประโยคภาษาอังกฤษสนุกๆ ที่คนไทยมักพูดผิด
- ลงทุนช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
- ေၾကာက္တယ္ဆုိတာ
- အာရွစီးပြားေရး အၾကပ္အတည္း ၁၀နွစ္ျပည့္ အေျခအေန
- အေရွ႕ေတာင္အာရွမွာ ေရြးေကာက္ပြဲက်င္းပေပးရင္ ဒီမိုကေ...
- ေသြးကုိ ေျပာင္းႏုိင္ေတာ့မည္။
- ဆယ္လီနီယံ သတၱဳဓါတ္ ေန႔စဥ္စားသံုးလွ်င္ HIV ပိုးတားဆ...
- သံုးနွစ္အတြင္း ေနေရာင္ျခည္စြမ္းအင္ကုိ လူတိုင္း သံု...
- Yahoo! နဲ႔ MSN တုိ႔ လုိက္မမီတဲ့ Google
- Hay Fever
- ကုမၼဏီက က်င္းပတဲ့ ကြန္ဒံုးလက္ေတြ႔စမ္းသပ္ပြဲ ေလွ်ာက...
- Good Paid Career Directions
- ဂမၺီရ - ေရေမ်ာတုံး
- ဂမၺီရ - ငါးလူလိမ္
- ဂမၺီရ - ေရငန္ပိုင္
- Hypertention Measurement Instruments Problem
- Hypertention or High Blood Pressure
- Kawthaung Travel Essay by Nation Writer
- Andaman Tsunami Simulation Model, Case Study
- တရုတ္ျပည္တြင္းထုတ္ပစၥည္း ၁၉.၁ ရာခုိင္နႈန္း အဆင့္မမ...
- Andaman Club เยือนเกาะสน ยลเกาะสอง 1
- ေရပိုင္နက္ေက်ာ္လာသည့္ ထိုင္းငါးဖမ္းေလွကို ျမန္မာတပ...
- အခြန္စည္းမ်ဥ္းသစ္ေၾကာင့္ ေကာ့ေသာင္း ေရလုပ္ငန္းအခက္...
-
▼
July
(42)
Visitors
Visitor Link
Misc Synopsis
- ကံေကာင္းေသာ လူငယ္မ်ားသည္ သူ႔ဘဝတြင္ "ဘယ္စာကိုဖတ္၊ ဘယ္စာကို မဖတ္နဲ႔" ဟူေသာ အၾကံေပးခ်က္မ်ိဳး ရ႐ွိခဲ့၏။ ကံဆိုးေသာ လူငယ္မ်ားသည္ ဘာအၾကံေပးခ်က္မွ မရွိပါ။ ထိုအမ်ိဳးအစားထဲမွ စိတ္ဓာတ္အင္အား ျပည့္စံုေသာ လူငယ္မ်ား၊ ႀကိဳးစားလိုေသာ လူငယ္မ်ား၊ ႐ွာေဖြစူးစမ္းလိုေသာ လူငယ္မ်ားသည္ မည္သူ႔အကူအညီမွ် မပါဝင္ဘဲ မိမိတို႔ဘာသာ သင့္ေတာ္ရာရာကို ေ႐ြးခ်ယ္ သြားတတ္ၾကသည္။ တခ်ိဳ႔ကေတာ့ သူတို႔ ဘာကိုလိုခ်င္မွန္း သူတို႔ကိုယ္တိုင္ မသိသူမ်ား ျဖစ္ၾကပါသည္။ ေလာကတြင္ မိမိဘာ လိုခ်င္သည္ဟု မွန္ကန္စြာသိ၍ မိမိ လိုခ်င္ေသာ အရာကို ရေအာင္ယူႏိုင္ေသာ လူငယ္မ်ားလည္း ႐ွိၾကသည္။ လူတေယာက္ မိမိဘဝတြင္ ဘာလိုခ်င္သည္ ဟု အတိအက် သိလာ ရန္ စာအုပ္မ်ားစြာက တြန္းအားေပးႏိုင္သည္ဟု ကြၽန္မ ထင္ပါသည္။ ဂ်ဴး
- ဂန္ဘာရီနဲ ့နအဖ တို ့ရဲ ့ကေလးကလား လုပ္ရပ္မ်ား - နဖအ က ေဒၚစုကို ေနအိမ္မွာအက်ယ္ခ်ဳပ္ခ်ထားတာ တကမၻာလံုးသိပါတယ္။ ဘယ္လိုေနအိမ္မွာအက်ယ္ခ်ဳပ္ခ်ထားလဲဆိုရင္ အိမ္ေရွ ့တခါးကိုေသာ့နဲ ့ခတ္ထားတယ္။ ေဒၚစုျခံ၀န္းထဲမွာ စစ္တပ္ခ်ထားတယ္။ ေဒၚစုကို ေတြ ့ခ်င္တယ္တဲ့သူေတြက သူတို ့က ၀င္ေစဆိုတဲ့အမိန္ ့ရမွာ၀င္လို ့ရတယ္။ ေဒၚစု ရဲ က်မာေရးကို တာ၀န္ခံထားတဲ့ေဒါက္တာတင္မ်ိဳး၀င္းေတာင္ ၀င္ေတြ ့ျခင္တိုင္း၀င္ေတြ ့လို ့မရဘူး။ သန္းေရြ ရဲ ့ခြင့္ျပဳခ်က္ရမွေဒၚစုကိုေတြ ့ခြင့္ရတယ္။ ေဒၚစုေရွ ေနက ေဒၚစုကို ေတြ ့ျခင္တိုင္းေတြ ့လို ့မရဘူး။ အန္အဲလ္ဒီစီအီစီ ဆိုရင္လည္း ေဒၚစုကို အိမ္မွာေတာင္ေတြ ့ခြင့္မရၾကဘူး။ ဒီလို အေျခအေနမ်ိဳးမွာ ဂန္ဘာရီ ကိုယ္စားလွယ္နဲ ့ နအဖ ကိုယ္စားလွယ္က ေဒၚစုအိမ္ေရွ ့ကိုသြားျပီး ေဒၚေအာင္ဆန္းစုၾကည္ ဂန္ ဘာရီက ေတြ ့ျခင္လို ့ပါလို ့ အိမ္ေရွ ့ကေန ေလာစပီကာနဲ ့သြားေအာ္ေနတာ အေတာ့ကို ကေလးကလားဆန္ျပီ အရူးထတဲ့လုပ္ရပ္ျဖစ္ပါတယ္။ က်ေနာ္ေမးျခင္တာက သူတို ့မွာ ေဒၚစုအိမ္ကိုခတ္ထားတဲ့ေသာ့ရိွရဲ ့သားနဲ ့ဖြင့္ျပီး ၀င္သြားလိုက္ၾကပါလား။ အိမ္ကိုေသာ့ခတ္ထားတဲ့သူက တခါးဖြင့္ေပးပါလို ့ေအာ္ေနတာကေတာ့ အေတာကိုညဏ္နည္းလွၾကပါတယ္။ Ko Moe Thee Blog
- အဲဒီသ၀ဏ္လႊာနဲ႔ ပတ္သက္ၿပီး မေလးရွား၀န္ႀကီးခ်ဳပ္ ဘာဒါ၀ီက ျမန္မာႏိုင္ငံအေနနဲ႔ အာဆီယံရဲ႕ ျပည္တြင္း ေရး မစြက္ဖက္ေရးမူကို အကာအကြယ္မယူသင့္ဘူးလို႔ မိန္႔ခြန္းမွာ ထည့္သြင္းေျပာၾကားသြားပါတယ္။ ဒါ့အျပင္ အာဆီယံရဲ႕ အဓိကအဖြဲ႔၀င္ႏိုင္ငံျဖစ္တဲ့ မေလးရွားႏိုင္ငံက အဖြဲ႔ႀကီးရဲ႕ အဓိကမူတရပ္ျဖစ္တဲ့ ျပည္တြင္းေရး မစြက္ဖက္ေရးမူကို ျပန္လည္အနက္အဓိပၸၸၸၸၸါယ္ ဖြင့္ဆိုသင့္ၿပီလို႔ ေျပာၾကားခဲ့ပါတယ္။ / Dr.LwanSwe
- ရွစ္ေလးလံုး အေရးအခင္းနဲ႔အတူ နာဂစ္မုန္တိုင္းအေပၚ စစ္အစိုးရ တံု႔ျပန္မႈဟာ ျမန္မာႏိုင္ငံတြင္း မွာရွိတဲ့ အႀကီးမားဆံုး လူ႔အခြင့္အေရး ခ်ိဳးေဖာက္မႈေတြရဲ႕ “နိဂံုး” ျဖစ္မယ္လုိ႔ လူအမ်ားစုက ေမွ်ာ္ လင့္ထားၾကတယ္။ ဒါေပမယ့္ နိဂံုးျဖစ္ျဖစ္၊ မျဖစ္ျဖစ္ ဒီတႀကိမ္ေတာ့ ျမန္မာ့အေရးဟာ ျမန္မာ ႏိုင္ငံသားေတြ (“၈၈မ်ိဳးဆက္” ေက်ာင္းသားေတြဟာ ရဲ၀ံ့စြာနဲ႔ ေရွ႕ကေန ဦးေဆာင္ေနတယ္) တင္ မကေတာ့ဘူး ကုလသမဂၢ လံုျခံဳေရးေကာင္စီနဲ႔ ျမန္မာႏိုင္ငံရဲ႕ အာရွအိမ္နီးခ်င္းႏိုင္ငံေတြရဲ႕ ႏိုင္ငံေရး ဆႏၵေပၚမွာလည္း မူတည္ေနပါတယ္။ အႏွစ္ (၂၀) ဆိုတာ ရွည္လ်ားတဲ့ အခ်ိန္ကာလ ျဖစ္ေပမယ့္ သိပ္ေတာ့ ေနာက္မက်ေသးပါဘူး။ / New Era Journal
- Failed States Index 2008 - အားလံုးေပါင္း ၁၂ ခုရွိတဲ့ စံညႊန္းေတြထဲမွာ ျမန္မာႏိုင္ငံဟာ လူ႔အခြင့္အေရးစံညႊန္းမွာ အဖိႏွိပ္ခံရဆံုး တဖက္စြန္းမွာေရာက္ေနၿပီး ျပည္ပစြက္ဖက္မႈမွာေတာ့ အေစာကေရးသလို အနည္းဆံုးပါ၊ ဒီႏွစ္ခုက အမ်ားဆံုး နဲ႔ အနည္းဆံုး အစြန္းႏွစ္ဖက္ ေရာက္ေနတာကလြဲလို႔ က်န္တာေတြက ထိပ္ဆံုးမေရာက္တေရာက္မွာ။ ၂၀၀၅ တုန္းက ထိပ္ဆံုး ၂၀ ထဲမွာ ျမန္မာမပါဘူး၊ ၂၀၀၆ က်ေတာ့ နံပါတ္ ၁၈ နဲ႔ အေရွ႔တက္လာတယ္၊ ၂၀၀၇ မွာ အဆင့္ ၁၄၊ ေဟာ၊ အခု ၂၀၀၈ မွာ အဆင့္ ၁၂ ျဖစ္သြားၿပီ။ ဒီလို တႏိုင္ငံလံုးခ်ီၿပီး ညံ့ဖ်င္းေနတာ ဦးေဆာင္လမ္းျပေနတဲ့ေခါင္းေဆာင္ တာဝန္မကင္းဘူး၊ ဒါေၾကာင့္ ႏိုင္ငံေတြစာရင္းအျပင္ ေခါင္းေဆာင္ေတြရဲ့ စာရင္းကိုလည္း ျပဳစုထုတ္ျပန္ထားတယ္။ Degolar
0 comments:
Post a Comment