Wednesday, December 5, 2007

ในหลวงนักเศรษฐศาสตร์

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ผมศรัทธาในตัวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรามาก คงไม่มีใครปฏิเสธว่าพระองค์ทรงเป็นเสาหลัก ช่วยให้บ้านเมืองมีความมั่นคง พระองค์ทรงเป็นแสงนำทางในยามที่บ้านเมืองต้องเผชิญกับความมืดมิด พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนาผู้ทรงเข้าพระทัยอย่างลึกซึ้งว่าหัวใจสำคัญของการพัฒนาคือการสร้างความสมดุลระหว่างคนและสภาพแวดล้อม

โครงการต่างๆ ซึ่งพระองค์ท่านทรงริเริ่ม เป็นโครงการที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนอย่างเป็นองค์รวม ไม่แปลกแยก บางโครงการให้น้ำหนักไปที่การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และการปรับปรุงสภาพแวดล้อม บางโครงการให้น้ำหนักไปที่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม แต่ทุกโครงการล้วนแล้วแต่มุ่งแก้ปัญหาให้กับสังคมแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ไม่ทำลายทุนทางสังคมของชุมชน

ผมได้ยินคนพูดถึงในหลวงของเราในฐานะนักเศรษฐศาสตร์อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง ในความเห็นส่วนตัวแล้ว ความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ของพระองค์นั้นกว้างขวางและลึกซึ้งกว่านั้น

ก่อนจะบอกว่าทำไมผมจึงเชื่อเช่นนี้ ขอทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า นักเศรษฐศาสตร์ไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญามาการันตี คนที่รู้จักคิดรู้จักตัดสินใจอย่างมีเหตุผล รู้จักชั่งน้ำหนักทางเลือกต่างๆ เปรียบเทียบผลได้ผลเสีย ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์แล้ว อย่างไรก็ตาม ระดับความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ในแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ใครจะเป็นแบบไหนก็วัดจากขอบเขตของผลได้ผลเสียที่เอามาใช้ในการพิจารณาตัดสินใจ

หากเราสนใจเฉพาะเรื่องของตัวเอง จะทำอะไรก็คิดอยู่เสมอว่าได้คุ้มกับเสียหรือเปล่า แบบนี้เรียกว่านักเศรษฐศาสตร์ฉายเดี่ยว ถ้าไม่มีคุณธรรมจริยธรรมมาคอยกำกับก็มีโอกาสจะกลายเป็นคนเอารัดเอาเปรียบคนอื่นได้

ผมเคยเห็นสติกเกอร์ท้ายรถคันหนึ่งเขียนไว้ว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ก็เลยหมดแรงใจจะทำดี” คนที่คิดแบบนี้คือคนที่คิดจะทำดีเพื่อตัวเอง เป็นได้นักเศรษฐศาสตร์แค่ระดับฉายเดี่ยว เพราะหวังว่าทำความดีไปแล้ว ประโยชน์ของความดีต้องตกกับตัวเอง

นักเศรษฐศาสตร์ระดับดีขึ้นมาหน่อยเรียกว่านักเศรษฐศาสตร์จรรโลงสังคม คนประเภทนี้นอกจากจะคิดถึงผลกระทบของการกระทำของตัวเองว่าจะทำให้คนอื่นได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากน้อยแค่ไหนแล้ว เขายังรู้จักเอาประโยชน์ของตัวเองกับประโยชน์ของคนอื่นมาชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกับต้นทุน ซึ่งจะเกิดขึ้นกับตัวเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง คนประเภทนี้ถ้ามีเยอะๆ จะช่วยให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก ไม่ค่อยมีการเอารัดเอาเปรียบกัน

นักเศรษฐศาสตร์ระดับสูงสุดเรียกว่า นักเศรษฐศาสตร์เพื่อมนุษยชาติ คนที่จะไปถึงระดับนี้ได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยคุณสมบัติสำคัญสามประการดังนี้

ประการแรก ต้องเห็นคุณค่าของความเป็นคน พร้อมจะเสียสละความสุขความสบายส่วนตัวเพื่อให้คนอื่นได้อยู่อย่างมีความสุข เรียกว่า ประโยชน์ของคนอื่นมีความหมายมากกว่าประโยชน์ของตนเอง

ประการที่สอง รู้จักวางตัวเป็นกลางไม่คิดอะไรโดยใช้ความรู้สึกของตนเองมาเป็นบรรทัดฐาน คุณสมบัติข้อนี้จะเกิดขึ้นกับคนซึ่งเป็นคนเต็มคนอยู่แล้ว ไม่ต้องการแสวงหาอะไรให้กับตัวเองอีก

ประการที่สาม ต้องเป็นผู้มีโอกาสหรือรู้จักสร้างโอกาสเพื่อให้ตนเองได้รับใช้คนหมู่มาก และมีสติปัญญาทรัพยากรเพียงพอที่จะทำในสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จลุล่วงไปได้ มีความมานะพยายาม ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค คนซึ่งจะยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคนานัปการได้ก็เพราะเขาเชื่อว่า ผลเสียจากการยอมแพ้นั้นมันสูงมาก หากยกธงขาวเสียแล้วก็มีแต่จะขาดทุน

ในสังคมไทยมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีคุณสมบัติข้อแรก แต่มักจะขาดคุณสมบัติสองข้อที่เหลือ ใครที่ขาดคุณสมบัติข้อที่สองก็มักจะหลงคิดไปว่าความคิดของตนถูกต้องอยู่เพียงฝ่ายเดียว ใครพูดอะไรไม่ค่อยจะฟัง ทั้งๆ ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว คนทุกคนมีขีดจำกัดในการคิดและรับรู้ การเลือกรับข้อมูลข่าวสารจากคนอื่นมาช่วยประกอบการตัดสินใจ จะช่วยให้เราลดทอนข้อจำกัดนี้ลงและตัดสินใจได้ดีขึ้น

หลายครั้งที่คนใหญ่คนโตในบ้านเมืองเราทะเลาะกันเพราะไม่มีคุณสมบัติข้อนี้ ทุกคนต่างก็หวังดีเพียงแต่คิดว่าความหวังดีแบบของตนคือหนทางเดียว ทางของคนอื่นไม่มีความหมาย บ้านเมืองสังคมก็เลยวุ่นวายกันแบบนี้

หากใครได้เคยดูสารคดีพระราชกรณียกิจของพระองค์คงจะได้รู้ว่า ท่านทรงรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น แม้แต่ชาวบ้านร้านตลาดธรรมดาท่านก็ยังทรงตรัสถามเพื่อจะได้เรียนรู้ ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งรู้มาก จนในที่สุดในหลวงของเราจึงทรงเป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่

คุณสมบัติข้อที่สามนั้นกระจ่างชัดอยู่แล้ว พระองค์ทรงมีความรู้แตกฉานในหลายสาขาวิชา สามารถนำเอาองค์ความรู้เหล่านั้นมาบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาได้ ไม่ทรงย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ ทั้งที่พระองค์ทรงมีทางเลือก พระองค์ไม่จำเป็นจะต้องทรงลงมาลำบากตรากตรำเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย แต่พระองค์ก็ทรงทำ สะท้อนให้เห็นว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับพวกเราปวงชนชาวไทยมากกว่าความสุขส่วนพระองค์ ความสุขของส่วนรวมคือสิ่งสำคัญที่สุด

ในประวัติศาสตร์โลก คนที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อนี้มีน้อยจนแทบจะนับนิ้วได้ พระองค์ก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเราโชคดีมากที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระองค์ เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับสูงสุดเหมือนพระองค์ท่าน แต่อย่างน้อยการก้าวตามรอยเท้าของพ่อหลวงจะเลื่อนขั้นให้เราพ้นจากนักเศรษฐศาสตร์ฉายเดี่ยวมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม แค่นี้บ้านเมืองเราก็น่าอยู่ขึ้นเป็นกองแล้วครับ

เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

0 comments:

Template by : kendhin x-template.blogspot.com