ระนอง-สภ.ราชกรูด รวบ 2หนุ่มระนอง ใช้รถสิบล้อห้องเย็นบรรทุกปลา ลักลอบขนแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ไปส่งให้นายหน้าทำงานที่ภูเก็ต ร่วม 51 คน รับสารภาพทำมาแล้ว 2 ครั้ง ได้ค่าจ้าง 10,000 บาท
ผู้จัดการออนไลน์ 31 ตุลาคม 2550
วันนี้ (31 ต.ค.) เมื่อเวลา 00.15 น. พล.ต.ต.อภิรักษ์ หงส์ทอง ผบก.ภ.จว.ระนอง ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ทศพล งามคณะ สว.สภ.ราชกรูด อ.เมืองระนอง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.ระนอง ตั้งด่านตรวจบนถนนเพชรเกษม ระหว่างหลัก กม.ที่ 652-653 หมู่ 6 ต.ราชกรูด เพื่อสกัดจับรถบรรทุก 10 ล้อ เขียนข้อความข้างรถว่า “แพปลาโกเจี้ยง” ซึ่งเป็นรถสิบล้อห้องเย็นบรรทุกปลา ยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน 80-3195 ระนอง หลังได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า เป็นรถที่ลักลอบนำแรงงานต่างด้าวออกนอก จ.ระนอง
เมื่อรถคันดังกล่าวขับมาถึงด่าน เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจค้น เมื่อเปิดประตูหลังของตู้ห้องเย็นออกมาต้องสะดุ้ง เมื่อภายในมีแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่านั่งอัดแน่นเต็มตู้ พร้อมกระเป๋าสัมภาระเป็นชาย 37 คน และหญิง 14 คน รวม 51 คน ตรวจสอบไม่มีหลักฐานการเข้าเมือง
เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนายสมนึก เจริญทรัพย์ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15/10 หมู่ 1 ต.ทรายแดง อ.เมืองระนอง คนขับ และนายปัฐพงศ์ ขวัญทอง อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 174 หมู่ 4 ต.บางริ้น อ.เมืองระนอง คนนั่งมาเป็นเพื่อน พร้อมของกลางไปสอบสวนที่ สภ.ราชกรูด
จากการตรวจสอบภายในตู้ห้องเย็น พบว่า มีการเอาน้ำแข็งแท่งใส่ไว้ในกระบะพลาสติกประมาณ 20 กระบะ วางไว้บนพื้นตู้ เพื่อลดอุณหภูมิภายในรถไม่ให้สูงเกินไป และใช้เป็นที่นั่ง และมีการต่อพัดลมดูดอากาศไว้หนึ่งตัว เพื่อดูดอากาศจากภายนอกผ่านทางรูท่อน้ำทิ้ง ไม่ให้ผู้ที่อยู่ภายในขาดอากาศหายใจ เพราะนั่งกันอย่างแออัดเต็มตู้อาจจะทำให้เสียชีวิตได้
สอบสวนนายสมนึก ให้การรับสารภาพว่า ตน และนายปัฐพงศ์ แอบนำรถตู้ห้องเย็นบรรทุกปลามาจาก อ.คุระบุรี จ.พังงา จากนั้นจะมีรถมารับช่วงต่อไปนำแรงงานต่างด้าวทั้งหมดไปส่งให้นายหน้าที่ จ.ภูเก็ต อีกทอดหนึ่ง โดยพวกตนได้ค่าจ้าง 10,000 บาท ลักลอบทำมาแล้ว 2 ครั้ง
ส่วนแรงงานต่างด้าว รับสารภาพว่าเดินทางมาจากหลายเมืองของประเทศพม่า โดยมารวมกันที่ จ.เกาะสอง จากนั้นก็มีนายหน้าชาวพม่า ที่ จ.เกาะสอง นำลงเรือหางยาวลักลอบมาขึ้นฝั่ง แล้วส่งต่อให้นายหน้าคนไทยที่ จ.ระนอง โดยต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ 400,000 จ๊าต หรือประมาณ 12,000 บาท
เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหานายสมนึก และนายปัฐพงศ์ “ร่วมกันให้การสนับสนุน นำหรือพา หรือช่วยเหลือซ่อนเร้นด้วยประการใด ๆ ซึ่งรู้ว่าเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ให้พ้นจากการจับกุมของเจ้าพนักงาน” ส่วนแรงงานต่างด้าว ดำเนินคดีในข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”
GoogleCyberSearch
Shared Items
Labels
- ႐ႊင္ျမဴးစရာ (3)
- Agri and Fishery (11)
- Art and Literature (2)
- Dhamma - Beliefs (7)
- Earth-Weather-Travel (8)
- Economy-Business-Finance (22)
- Energy (4)
- Fun/Humor (10)
- General (1)
- Health (3)
- History - Politics (11)
- Ideas - Opinions (6)
- IT (22)
- Life Style (7)
- Local (21)
- Society - Community (1)
- Technology (14)
- Travel (4)
- การเกษตร (2)
- ขำขัน (8)
- ท่องเทียว (4)
- เทคโนโลยี (11)
- เทคโนโลยี-วิทยาศาสตร์ (3)
- ธุรกิจ (4)
- บ้า้นและครอบครัว (1)
- ประวัติศาสตร์ (2)
- ปรัชญา - ธรรมะ (10)
- พม่า (11)
- พลังงาน (5)
- ระีนอง - เกาะสอง (25)
- เศรษฐกิจ (10)
- สังคม (9)
- สัตว์น้ำและอาหารทะเล (10)
- สุขภาพ - อาหาร (12)
- ကမၻာေျမ (2)
- က်န္းမာေရး (8)
- ခရီးသြားျခင္း (5)
- စားဝတ္ေနေရး (8)
- စာေပ၊ ယဥ္ေက်းမႈ (5)
- စီးပြား၊ကုန္သြယ္ (32)
- စုိက္ပ်ဳိးေရး (6)
- ဓမၼ - ဂမၺီရ (5)
- မိုးေလဝသ (1)
- ျပည္ျမန္မာ (13)
- လူမႈဘဝ (8)
- သိပၸံႏွင္႔နည္းပညာ (16)
- သီခ်င္းမ်ား (2)
- အေတြးအျမင္ (6)
- အေထြေထြ (8)
- ေဒသသတင္း (24)
- ေရလုပ္ငန္း (14)
- ႏိုင္ငံေရး (11)
Vistors Stats
Wednesday, October 31, 2007
รวบพม่าลอบเข้าเมืองคาห้องเย็นรถสิบล้อขนปลา 51 คน
Labels: ระีนอง - เกาะสอง
ระนองคุมเข้มน้ำมันเถื่อนหลังราคาในประเทศพุ่งสูง
ระนอง-ด่านศุลกากรระนอง เพิ่มมาตรการคุมเข้มเฝ้าระวังน้ำมันเถื่อนทะลักเข้าพื้นที่ หลังราคาน้ำมันภายในประเภทปรับตัวพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดส่งออกน้ำมันไปยังเกาะสอง ประเทศพม่า ยังทรงตัวเดือนละ 15 ล้านลิตร เชื่อไม่มีลักลอบนำน้ำมันวนกลับ เหตุพม่าจำเป็นต้องใช้-เสี่ยงต่อการถูกจับกุม
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 31 ตุลาคม 2550 13:18 น.
นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ นายด่านศุลกากรระนอง กล่าวว่า ในช่วงที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ด่านศุลกากร สรรพสามิต ทหารเรือ และตำรวจน้ำระนอง ได้นำเรือตรวจการณ์ออกตรวจในน่านน้ำระนองอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการลักลอบนำน้ำมันเถื่อนเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเรือประมงมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ซึ่งยังไม่พบผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังจังหวัดเกาะสอง ประเทศพม่า ที่ผ่านมานั้น ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติเดือนละ 15,000,000 ลิตร มีราคาส่วนต่างถูกกว่าน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศประมาณลิตรละ 4 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมอย่างเข้มงวดในการขนถ่ายน้ำมันจากรถบรรทุก เพื่อลงเรือในแต่ละครั้ง
เชื่อว่า น้ำมันที่ส่งออกไปนั้น เป็นไปได้ยากที่จะมีการลักลอบนำวนกลับเข้ามาใหม่ เนื่องจากประเทศพม่า มีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก ทั้งในกิจการประมง และขนส่ง หากจะมีการลักลอบนำกลับเข้ามาอีก จะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย และเสี่ยงต่อการถูกจับกุม
Labels: ระีนอง - เกาะสอง
Tuesday, October 30, 2007
ေကာ့ေသာင္းမွ အျဖဴအစိမ္းဝတ္ နအဖေထာက္ခံပြဲတက္သူ ေက်ာင္းဆရာကို ေထာင္ခ်
တနႆၤာရီတိုင္း၊ ေကာ့ေသာင္းျမဳ႔ိမွာ အခုလ၂၄ ရက္ေန႔က က်င္းပ ခဲ့တဲ့ အမ်ဳိးသား ညီလာခံ ေထာက္ခံပြဲကို အေပၚျဖဴ၊ ေအာက္စိမ္း ေက်ာင္းဝတ္စံု ဝတ္ဆင္ တက္ေရာက္ လာတဲ့ ေက်ာင္းဆရာ ဦးဝင္းေအာင္ကို ျမဳိ႔နယ္ အာဏာပိုင္ ေတြက ေထာင္ဒဏ္ ၁ႏွစ္ ခ်မွတ္ ခဲ့ပါတယ္။
Ref : www.myanmarisp.com
ဝတ္စံုေတြ မဝတ္ရလိုႛ ထုတ္ျပန္ ထားတဲ့ အမိန္ႛကို အာခံ ဖီဆန္လိုႛ ဆို႓ပီး ေထာင္ခဵမွတ္ ခံလိုက္ ရတဲ့ အသက္၄၈ႏွစ္ အ႟ြယ္႐ွိဦးဝင္းေအာင္ဟာ ေကာ့ေသာင္း႓မိဳ႔ပိေတာက္ေ႟ႊဝၝ ရပ္ကြက္၊ အမွတ္ (၄) လမ္းမွာ ေနထိုင္သူ ျဖစ္ပၝ တယ္။
စစ္အစိုးရက လုပ္ေနတႛဲ ၾကဳိဆို ေထာက္ခံပြဲ အခမ္းအနား ေတြမွာ ဆရာ၊ ဆရာမ ေတြနဲႛ ေကဵာင္းသား ေကဵာင္းသူ ေတြကို အဓမၼ တက္ေရာက္ ခိုင္းေနတယ္ ဆိုတဲႛ သတင္း ေတြကို ဖံုးကြယ္ဖိုႛ ဆို႓ပီး ေကဵာင္းဝတ္စံု ေတြနဲႛ တက္ေရာက္ျခင္း မျပဳဖိုႛ စစ္႟ံုးခဵဳပ္က လဵဳ႔ိဝွက္ အမိန္ႛ ထုတ္ျပန္ ထားတယ္လိုႚ ဆိုပၝတယ္။ ဒီအမိန္ႛကို ေဖာက္ဖဵက္သူ မွန္သမ်ွကို အေရးယူ ဖိုႛလည္း ညႊန္ၾကား ထားတယ္လိုႚ သိရ ပၝတယ္။ အဲဒီ ညႊန္ၾကားခဵက္ အရ ေကဵာင္းဝတ္စံု ဝတ္လာတဲ့ ဦးဝင္းေအာင္ကို ေထာင္ခဵ ခႛဲရတာပၝ လိုႛလည္း အမည္မေဖာ္ လိုတ့ဲ ေကာႛေသာင္း ႓မိဳ႔နယ္ ၾကံ့ခိုင္ေရး အသင္းဝင္ တဦးက ေျပာျပ သြားပၝတယ္။
How can spam e-mail help fight HIV?
There's new hope for wiping out HIV, and it may be sitting in your e-mail inbox right now. Researchers at Microsoft are in clinical trials testing the technology used to create spam-blocking programs. Their goal? To use that same technology against HIV.
Ref : http://health.howstuffworks.com/spam-hiv.htm
Labels: Technology
Monday, October 29, 2007
Rising Oil High Price partly due to Hedge Funds!
At the moment, boiling rising prices of crude oil in world market, and consequently to Thais Stock Exchange Market Index, is not only because fundamental demand-supply, but is partly due to Hedge Funds, Non-Energy related Financial Institutions' gaming playing, an oil specialist, an ex-official of BangChak Petroleum, commended.
ผู้ค้าน้ำมันแฉ! เฮดจ์ฟันด์-ธนาคาร แห่เข้าเก็งกำไรตลาดน้ำมันโลก เผยยอดกักตุนพุ่งสูงถึง 88 ล้านบาเรล ระบุ หากมีการเทขายพร้อมกัน อาจทำให้ตลาดน้ำมันโลกผันผวนอีกครั้ง ส่งผลกระทบต่อเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ แนวโน้มยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง
Ref : Manager Online
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมัน อดีตผู้บริหาร บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) กล่าวถึงภาวะราคาน้ำมันที่ปรับสูงจนทำให้น้ำมันดิบทะลุ 92 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ดีเซลในตลาดสิงคโปร์ทะลุ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นั้น นอกจากการปรับขึ้นจากปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันแล้ว ขณะนี้ ยังพบว่ากองทุนที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน(นอนคอมเมอร์ เชียลฟันด์) อาทิ กองทุนธนาคาร กองทุนเก็งกำไร(เฮดจ์ฟันด์) เข้ามากว้านซื้อน้ำมันเพื่อเก็งกำไรไว้รวมกันถึง 88 ล้านบาร์เรล
นายมนูญ กล่าวอีกว่า หากกลุ่มนอนคอมเมอร์เชียลฟันด์ เทขายน้ำมันในถือครองไว้ออกมาพร้อมกัน จะทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลงจากระดับปัจจุบัน 5-10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทันที
ดังนั้น ตลาดจึงคาดการณ์ว่า หากไม่เกิดภาวะสงครามขึ้น หรือเกิดอุบัติเหตุในแหล่งขุดน้ำมัน ราคาน้ำมันดิบคงไม่พุ่งขึ้นไปสูงถึง 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลอย่าที่กลัวกัน
อย่างไรก็ตาม กรณีที่ปริมาณสำรองน้ำมันในสหรัฐลดลงจากที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ประกอบกับกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก(โอเปก) ประกาศที่จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันที่ขณะนี้ผลิต 26.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมถึงกรณี ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน และจากที่ตลาดการเงินคาดการณ์ว่าธนาคารกลางของสหรัฐ(เฟด) จะลดดอกเบี้ยลงในวันที่ 31 ต.ค.นี้ จะมีผลให้ค่าเงินสหรัฐอ่อนตัวลง
"กลุ่มประเทศผู้ขายน้ำมันพยายามดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นเพื่อชดเชยค่าเงินที่อ่อนลง ล้วนเป็นปัจจัยลบที่กระทบต่อตลาดน้ำมัน คาดว่าในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ในอีก 2-3 เดือนราคาน้ำมันดิบจะยังสูงกว่าระดับ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล"
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบสูงขนาดนั้นคงจะส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในไทยเบนซินยืนอยู่ที่ 30-31 บาทต่อลิตร และดีเซล 28 บาทต่อลิตร แต่คงต้องติดตามว่ากลุ่มโอเปกจะทนแรงกดดันของนานาประเทศที่พยายามกดดันให้เพิ่มกำลังการผลิตอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือไม่ ซึ่งประเมินว่าหากเพิ่มกำลังการผลิตมากสุดน่าจะแค่ 5 แสนบาร์เรลต่อวัน คงไม่ช่วยทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับลดลงมากนัก
นายมนูญ ชี้ว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ความต้องการใช้น้ำมันของโลกเพิ่มในระดับ 3-4% ทุกปี แต่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้ทันกับความต้องการใช้ ขณะนี้ผู้ผลิตน้ำมันมีปริมาณสำรองเหลือยู่อีก 2-3 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นของกลุ่มโอเปก ส่วนกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันนอกโอเปกผลิตเต็มที่แล้ว รวมแล้วการผลิตน้ำมันของโลกขณะนี้อยู่ที่ 86 ล้านบาร์เรลต่อวัน
Paw Oo Thet's Paintings
Paw Oo Thet is being The Contemporary Artists in Myanmar. He is one of the most influential painters of Burma. He paints mostly myanrmar traditional cultures, scences, and put much efforts on religion related works.
This is one of our Buddhist religion related painting about legend of people born from bamboo, lotus, ....
Labels: Art and Literature, စာေပ၊ ယဥ္ေက်းမႈ
Thai employees are likely to see an average salary increase
Average salary hike put at 6.3%
Thai employees are likely to see an average salary increase of 6.3% at the end of this year. Salary increases are expected to range from 6.2% to 6.7%, while the average fixed bonus will be one month, according to the international human resources firm Hewitt Associates.
Ref: SOMPORN THAPANACHAI - Bangkok Post
The company projected a 6.4% average salary increase for the end of next year, with the range of 6.4% to 6.7% depending on employee level, and a fixed bonus of one month's salary.
Hewitt based its findings on data collected from 166 organisations in Thailand between July and October.
According to Kulshaan Singh of Hewitt in Singapore, employees in business and computer services would receive the highest raises of 7.4%.
The lowest increase this year would be 4.8% among manufacturers of computers and related products.
The hospitality and restaurant businesses also ranked low in the survey.
Other sectors with high forecast increases include consumer products (non-durable goods) at 7.2%, other manufacturing activities (7.1%), automotive (6.9%), pharmaceuticals (6.6%) and energy/oil (6.3%).
The lower range includes food and beverages (6.0%), other services (5.9%), chemicals (5.8%), electronics/electrical goods (5.8%), banking and finance (5.8%), consumer products (durable goods) at 5.7% and telecommunication (5.7%).
He said the average increase for junior management, supervisory and professional workers would be 6.7% while senior management would receive about 6.2%.
Mr Singh said the survey showed that 56.3% of respondents provided fixed bonuses for their employees while 52% also offered long-term incentives for employees.
Bubphawadee Owararinth, business development director of Watson Wyatt (Thailand) Ltd, said the company's strategic reward research showed that countries in the Asia Pacific where salary increases would average below 5% were Australia, Japan and Taiwan.
Raises in Hong Kong, Malaysia, South Korea and Thailand would be in the range of 5% to 10%.
Countries with increases above the 10% level are India, Indonesia and the Philippines.
She said the increases would be performance-based. The research reveals that employers are paying more attention to designing reward programmes by considering issues of learning and training programmes, quality work environment, rotational assignments and cash incentives respectively.
Labels: Economy-Business-Finance
Sunday, October 28, 2007
Instant Noodle, becoming Thai Basic Commodity?
It has been for times that Instant Noodle Companies, particularly Ma Ma, tried to get an approval from Internal Trade Department of Thailand to raise their noodle prices, about 1B, since the world oil prices has climbing up later quarters of this year. According to Mama, their production costs rise up tallying with oil price, and so other basic commodities and start rising up inflation.
Thai authority had already allowed some basic commodities items to high up such as Pork, et.., but not "Instant Noodle". The authority persuade MaMa to wait until the next new year to rise up their prices. The authority said that "Instant Noodle" is included in some over 200 commodity items that they are watching closely up.
ျမန္မာျပည္မွာေရာ အသင့္စားေခါက္ဆြဲ၊ငါးေသတၲာ ေတြက ျပည္သူေတြရဲ႔စားသုံးမွီခုိမႈအခ်ဳိး ဘယ္ေလာက္႐ွိေနျပီလဲ မသိဘူး။ ထူးေပမယ့္ မဆန္းတဲ့အရာပါ။ အထူးသျဖင့္ျမန္မာျပည္ရဲ႔ ေဝးလံျပီးကုန္စည္ပုိ႔ေဆာင္ေရးခက္ခဲတဲ့ေဒသေတြမွာေပါ့။
Saturday, October 27, 2007
Hoang Thuy Linh's Sex Tape Kills Her Acting Career
ဒီတေလာ Handpone Camera Clip ေတြ in trend ျဖစ္ေနခ်ိန္မွာ ျမန္မာျပည္ မွာလဲမလြတ္ပါဘူး။
တေလာကပဲ ျမန္မာမင္းသမီးႏွစ္ေယာက္ ဂ်ာနယ္တစ္ခုမွာ အျပင္မွာ ျပန္႔ေနတဲ့ Video ေတြဟာ သူတုိ ့မဟုတ္ေၾကာင္း၊
သူတုိ့ နဲ႔ ဆင္တဲ့ သူေတြသာျဖစ္ေၾကာင္း လာ႐ွင္းသြားရပါတယ္။
အခုကေတာ့ Vietnamese Teenage popularity image တစ္ေယာက္ျဖစ္တဲ့ Hoang Thuy Linh ရဲ့ Scandal ပါ။
သူမရဲ႔ BF ႏွင့္အိပ္ရာေပၚက Clip ေတြဟာ သူတုိ႔ရဲ႔သူငယ္ခ်င္း လက္ခ်က္နဲ႔ပဲ ဒီ October မွာ Online ေပၚေရာက္သြားေတာ့
အခု သူမရဲ႔ Vanh Anh Diaries Series ေတြကုိ VTV ကရပ္လုိက္ပါျပီ။
သူမရဲ႔ (ေႏွာင္းသြားျပီျဖစ္တဲ့) စကားကေတာ့ "I made a mistake, a Terrible mistake, I apologise for ...".
ဒါေၾကာင့္ ကုိယ့္ရဲ႔ Handphone Clip(Video Clip, Photos) ေတြကုိလုံျခဳံလွျပီဆုိျပီး ႐ုိက္မသီမ္းထားၾကပါနဲ႔၊
(တမင္ ဒီလုိနည္းနဲ႔ Popularျဖစ္ခ်င္တဲ့သူေတြကလဲြရင္ေပါ့။) ႐ုိက္(ခ်င္)ခဲ့ရင္လဲမလုိအပ္ေတာ့ရင္ဲေသေသခ်ာခ်ာဖ်က္ဖုိ႔မေမ့ပါနဲ႔။
PC Harddisk, Handphone Memory ေတြကုိေတာ္႐ုံတန္႐ုံေလာက္က Recover ျပန္လုပ္လုိ႔ရပါတယ္။
(Singapore Polotech က ျမန္မာေက်ာင္းသူ၊ ထုိင္းအဆုိေတာ္မ၊ ထုိင္ဝမ္ ဆီးနိတ္အမတ္မအေၾကာင္းၾကားဖူးမွာပါ။
Video Download လုပ္ခ်င္သူေတြအတြက္ Internet မွာပဲ႐ွာလုိက္ပါ။ အမ်ားၾကီးပဲ၊ လြယ္ပါတယ္။)
Ref :Hollywood Grind
Labels: ႐ႊင္ျမဴးစရာ, Fun/Humor
Friday, October 26, 2007
WidgetBucks - Another Ads Choice
Online ေပၚမွာ မုန္႔ဖုိးပဲဖုိးေလးရေအာင္ ကုိယ့္ရဲ႔ Site မွာထည္.ထားလုိ႔ရပါတယ္။
Google Adsense ေနာက္ Popular ျဖစ္တဲ့ Advertising Program ပါ။
Google Adsense နဲ႔ Compantible တြဲသုံးလုိ႔ရတယ္ေျပာတာပဲ။
Language Screening လဲမ႐ွိပါဘူး။
ျပီးေတာ့စစ Sign Up လုပ္ျခင္း 25US$ ေပးပါတယ္။
(ခုမွစမ္းသုံးၾကည့္မွာဆုိေတာ့ Bad Sides ကုိေတာ့မသိေသးပါဘူး။)
ေအာက္က Logo ကတစ္ဆင့္ Sing Up လုပ္ႏုိင္ပါတယ္။
Labels: IT, သိပၸံႏွင္႔နည္းပညာ
Wednesday, October 24, 2007
Tips to (Automatically)Keep Your (older) Blog Posts
You might have aware that your blog have limited spaces(esp for those who likes to post with images). You currently blog image quota is 1GB (and you can check your available remaining spaces when you upload your images, as above photo).
So how to do if your older blog pages are deleted if not enough spaces? For me, I used to forward all my blog pages to my gmail(dedicated for blog purpose only e.g kawthaungblog@gmail.com). I recommend Gmail, since now you can have about 4GB(with attachement size bigger than other commercial mail), and storage quota expand quickly with the years passing.
What you have to do is go to 'SETTINGS', then to 'EMAIL', fill out about your blog mail at BLOGSEND ADDRESS box. That's all. And if you use that mail for other purposes, you can filter by your blog name with 'LABEL' to organize your blog posts.
Also if you want to post from other places without opening your blog, set you blog send address, at box "Mail-to-Blogger Address". Then now you can send an article from any mail address to post at your blog.
Labels: IT
Friday, October 19, 2007
ตชด.ระนองจับสาวพม่าลอบเดินทางไปทำงานที่สุราษฎร์
ระนอง - ตชด.จับพม่า 14 คน พร้อมคนขับและรถกระบะ 1 คัน ขณะลักลอบเดินทางเพื่อไปจังหวัดสุราษฎร์ธานี
วันนี้ (18 ต.ค.50) ร.ต.อ.มนต์ชัย บุญชู ผู้บังคับหมวด ร้อย ตชด.ที่ 415 ระนอง ได้นำกำลังตำรวจ ตชด.จับกุมรถกระบะโตโยต้าตอนครึ่ง ไฮลักซ์วีโก้ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ตถ 7576 กรุงเทพมหานคร ขณะขับผ่านจุดสกัดบนถนนสายบ้านบางแก้ว-บ้านเขาทะลุ หมู่ที่ 3 ต.บางแก้ว อ.ละอุ่น จ.ระนอง
ตรวจค้นในกระบะรถซึ่งมีตาข่ายสีดำปิดปกคลุมอย่างมิดชิด เมื่อเปิดออกมาพบว่ามีแรงงานต่างด้าว สัญชาติพม่านอนราบอยู่ 10 คนเป็นหญิงล้วน และนั่งอัดอยู่ในแค๊ปหลังคนขับอีก 4 คน เป็นหญิงเช่นเดียวกัน รวม 14 คน อายุระหว่าง 18-25 ปี
ตรวจสอบไม่มีหลักฐานการเข้าเมือง แต่ 7 ใน 14 คน มีบัตรควบคุมแรงงานต่างด้าวที่ทางจังหวัดออกให้พกติดตัวอยู่ด้วยจึงควบคุมตัวนายเสกสรรณ ชูบ้านนา อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 75 หมู่ 11 ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร
จากการสอบสวนนายเสกสรรณ ให้การรับสารภาพว่า ต้องการนำแรงงานต่างด้าวทั้งหมดไปทำงานตามสถานบันเทิง และสถานบริการ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยได้ค่าจ้างหัวละ 350 บาท ทำมาแล้ว 2 ครั้ง
ส่วนแรงงานต่างด้าวให้การว่า พวกตนเข้ามาทำงานอยู่ในจังหวัดระนองได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ต้องการไปทำงานที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งต้องจ่ายค่านายหน้าคนละ 5,000 บาท
เจ้าหน้าที่จึงได้ตั้งข้อหาแก่นายเสกสรรณ เป็นผู้นำพา ช่วยเหลือ ซ่อนเร้นแก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนแรงงานต่างด้าวถูกตั้งข้อกล่าวหา เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ต.บางแก้ว ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
Labels: ระีนอง - เกาะสอง
ตะลึง! ภาพถ่ายม้าทรงที่ภูเก็ตหัวขาด
ศูนย์ข่าวภูเก็ต - หนุ่มวัย 25 ปี ตะลึงภาพถ่ายม้าทรงของศาลเจ้ากะทู้ ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุดของภูเก็ต ไม่มีศีรษะ หลังใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายไว้ขณะร่วมในขบวนแห่พระรอบเมือง ยืนยันช่วงถ่ายโชว์ภาพมีครบทุกส่วนของร่างกาย เชื่อม้าทรงคนดังกล่าวชะตาขาด หรือดวงอาจถึงฆาต
เมื่อเวลา 21.40 น.คืนที่ผ่านมา (18 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายประวัติ เซียงหวอง อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47/8 หมู่ 4 เยื้องมัสยิดกมลา ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ว่า สามารถบันทึกภาพนิ่งที่เหลือเชื่อ และน่าหวาดกลัวในพิธีแห่พระรอบเมืองภูเก็ต หรือ “อิ้วเก้ง” ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของประเพณีถือศีลกินผักประจำปีของ จ.ภูเก็ต ด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือได้
โดยภาพดังกล่าวนายประวัติได้ถ่ายม้าทรงของศาลเจ้ากะทู้ ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุด และเป็นศาลเจ้าแห่งแรกของ จ.ภูเก็ต ที่เริ่มประกอบพิธีถือศีลกินผัก โดยม้าทรงคนดังกล่าวได้ทรมานร่างกาย ด้วยการใช้เหล็กแหลมนับสิบอันแทงทะลุแก้มทั้ง 2 ข้างอย่างน่าหวาดเสียว ขณะที่ม้าทรงคนดังกล่าวกำลังยืนอยู่บนรถยนต์กระบะที่กำลังจะเลี้ยวเข้าศาลเจ้ากะทู้
หลังเสร็จสิ้นพิธีแห่พระรอบเมืองแล้ว โดยสวมเสื้อแขนยาวสีเหลืองที่คอมีผ้าสีดำพันไว้ ด้านหลังมีพี่เลี้ยงม้าทรงยืนประคองอยู่ ส่วนด้านหน้าม้าทรงเป็นองค์เทพที่อัญเชิญมาสถิตไว้ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านพักได้เปิดภาพดูถึงกับตกตะลึง เนื่องจากภาพที่ถ่ายไว้ในโทรศัพท์มือถือ พบว่า ม้าทรงคนดังกล่าวกลับไม่มีศีรษะ
ทั้งๆ ที่ตอนถ่ายนายประวัติยืนยันว่าม้าทรงคนดังกล่าวมีศีรษะเหมือนคนทั่วไป เพราะยังเห็นเหล็กแหลมนับสิบอัน เสียบทะลุแก้มของม้าทรงอยู่ จากนั้นจึงได้เรียกให้เพื่อนๆ มาดูภาพพร้อมกับขยายใหญ่ ปรากฏว่าเมื่อทุกคนที่เห็นภาพถึงกับออกปากว่าน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ซึ่งทุกคนที่เห็นภาพเชื่อว่าม้าทรงคนดังกล่าวชะตาขาดหรือดวงอาจถึงฆาต
Labels: ท่องเทียว
Thursday, October 18, 2007
Global hike likely to lift retail price of diesel
Bangchak expects move this week
The retail price of diesel is likely to increase this week due to the continued spike
in global oil prices, which will deplete retailers' market-ing margins,
a Bangchak Petroleum executive said yesterday.
The prediction came amid the surprise adjustment in oil futures in New York on Tuesday,
when the price of crude for November delivery reached a record high of US$88.20 (Bt3,043) a barrel,
before closing at $87.61. Dubai crude touched $78.34.
REF: FUEL COSTS Published on October 18, 2007 Business Reporters The Nation
Though oil futures retreated slightly to $87.42 by noon yesterday in Europe in electronic trading on the New York Mercantile Exchange, the high level indicates a possible increase in retail oil prices, which would make it unavoidable for manufacturers and service providers to raise their prices.
Vichien Usanachote, senior executive vice president of Bangchak, said that as finished diesel had climbed $2.18 in a single day to $96.04 a barrel on Tuesday, PTT - the largest oil retailer - would be unable to delay the retail price increase.
"It is likely that global oil prices could touch $100 a barrel some time, due to unrest in several areas like Turkey and Iraq," he said.
However, PTT senior executive vice president Chaiwat Chooritti said yesterday that the company would put on hold another increase in retail diesel prices, fearing that an increase this week would further disturb consumers who are suffering from higher product prices.
He said if global oil prices kept escalating this week, the company could consider raising retail prices next week.
"While fluctuations in oil prices attract hedge funds, all parties now hope that the Organisation of Petroleum Exporting Countries will increase output at its November meeting to ease the price situation," he said.
Also yesterday, ferry and boat-service operators along the Chao Phya River failed to win the Marine Department's permission to lift fares, though private bus operators raised their fares on Monday and truck operators will raise their freight rates on November 1.
Marine Department director-general Prasong Tanmaneewatana said the agency would review the fares once diesel climbs further. Right now, the boat operators are recommended to adjust their frequency and switch to
Natural Gas for Vehicles (NGV) to generate more revenue and save fuel costs.
"NGV can reduce fuel costs by 30 per cent," he said.
At the time of the last increase in August 2005, it was agreed that basic boat fares would be maintained at Bt2-Bt3, as long as the average diesel cost was Bt21-Bt25 per litre. The department said that during the first 10 months of this year, the average diesel price was Bt25.04 and that had prompted it to delay the increase.
Energy Minister Piyasvasti Amranand said yesterday that the government would never intervene in domestic retail oil prices except in emergencies, such as war in the Middle East.
He said intervention would cause a long-term debt burden to the Oil Fund, which is due to be free of all debts - incurred from intervention during the Thaksin Shinawatra government - at the end of the year.
Piyasvasti also calmed the market worries on oil prices, saying that the volatility is due to tight supplies. Even though the world price could hit $100, it would only be for a short period, he said.
"The average crude-oil price still stands at $60 a barrel," he said. "The retail diesel price is still lower than last year's peak of Bt29.75 per litre. The average price in the first nine months of Bt24.73 is also lower than last year's average of Bt25.62."
He also advised consumers to switch to NGV, for which the price would be maintained at Bt8.50 per kilogram until the end of next year.
PTT now targets to have 50,000 NGV-fuelled taxis at the end of the year, from 16,000 at present, under a Bt2-billion programme. It also hopes to have 220 NGV stations by the end of the year.
Piyasvasti said oil prices were not the only factor driving up transport costs and product prices. Inflation can be blamed on many factors, including seasonal increases in food prices.
Oil prices retreated yesterday in Asia to $87.12 a barrel amid expectations a fuel report due later in the day would show that US crude and petrol stocks rose last week.
Prices remained supported by concerns that a Turkish incursion into Iraq in search of Kurdish rebels could disrupt crude supplies.
Turkey's parliament was expected yesterday to agree that the government could launch a cross-border attack into Iraq sometime over the next year. An incursion would threaten the pipeline that runs from Kirkuk in Iraq to the Turkish export terminal of Ceyhan.
Labels: Economy-Business-Finance, Energy
Wednesday, October 17, 2007
ေကာ့ေသာင္းမွသံဃာမ်ား ရေနာင္းသုိ႕ ခရီးသြားခြင့္မျပဳ
ျမန္မာတႏုိင္ငံလုံးတြင္ ဆႏၵျပသပိတ္ေမွာက္ကံေဆာင္ခဲ့ၾကေသာ သံဃာေတာ္မ်ားအား
စစ္အစုိးရက ပိုက္စိပ္တုိက္ လုိက္လံဖမ္းဆီးေနသည္သာမက ထုိင္း-ျမန္မာနယ္စပ္ ေကာ့ေသာင္းၿမိဳ႕ရွိ
သံဃာေတာ္မ်ားကိုလည္း ထုိင္းႏုိင္ငံ၊ ရေနာင္းၿမိဳ႕ဘက္သုိ႕ ခရီးသြားလာခြင့္ ပိတ္ပင္လုိက္သည္။
ေက်ာ္ထင္(ထုိင္း)/ ၁၆ ေအာက္တိုဘာ ၂၀၀၇
ေကာ့ေသာင္းၿမိဳ႕နယ္အာဏာပုိင္မ်ားက ၿမိဳ႕နယ္သံဃာ့မဟာနာယက ဆရာေတာ္မ်ား
ကုိ ပင့္ဖိတ္ၿပီး ၿမိဳ႕နယ္အတြင္းရွိ သံဃာေတာ္မ်ား၏ ခရီးသြားလာခြင့္ကုိ ၀ါကၽြတ္သည္
အထိ ပိတ္ေပးပါရန္ ယခုလ (၁၄) ရက္တြင္ ေလွ်ာက္ထားခဲ့ေၾကာင္း ေကာ့့ေသာင္းၿမိဳ႕မွ
အမည္မေဖာ္လုိသည့္ သံဃာတပါးက မိန္႕ၾကားသည္။
၎က “ဆႏၵျပရာမွာ ပါတဲ့သံဃာေရာ၊ မပါတဲ့သံဃာေရာ အားလုံး ဟုိဘက္ကမ္းကုိ ကူးခြင့္
မရွိတာ။ သီတင္းကၽြတ္အထိပိတ္ထားတယ္။ ေနာက္ထပ္ (၁၀) ရက္ေပါ့။ ဦးဇင္းထင္တာက ရန္ကုန္မွာဘုန္းႀကီးေတြကုိ လုိက္ဖမ္းေနတယ္မဟုတ္လား။ ဒါေတြနဲ႔ဆက္စပ္မယ္နဲ႔တူတယ္။ ရန္ကုန္ဘက္ကုိက်ေတာ့ သြားလုိ႔ရပါတယ္။ အခုလုိ နယ္စပ္ကုိ ေရရွည္ပိတ္လုိ႔ေတာ့မရပါဘူး။ ျပႆနာေတြတက္မွာေပါ့။ ဘာျဖစ္လုိ႔ဆုိေတာ့ ဒီမွာရွိတဲ့ဘုန္းႀကီးေတြလည္း ဟုိဘက္မွာ သာသနာေရးကိစၥေတြ အမ်ားႀကီးရွိတယ္ေလ” ဟု မိန္႕ၾကားသည္။
ပုံမွန္အားျဖင့္ ေကာ့ေသာင္းရွိသံဃာေတာ္မ်ား ရေနာင္းဘက္သုိ႕ ခရီးသြားမည္ဆုိပါက သက္ဆုိင္ရာေက်ာင္းထုိင္ဆရာေတာ္၏ ေထာက္ခံခ်က္ျဖင့္ ၿမိဳ႕နယ္သံဃာ့မဟာနာယက႐ုံးမွတဆင့္ ခြင့္ျပဳခ်က္ယူကာ (၁) ပတ္အထိ သြားခြင့္ရွိေၾကာင္း သိရသည္။
တႏုိင္ငံလုံးရွိ သံဃာမ်ား သပိတ္ေမွာက္ကံေဆာင္ခဲ့စဥ္က ေကာ့ေသာင္းရွိသံဃာေတာ္မ်ား
ကလည္း (၂) ႀကိမ္လမ္းေလွ်ာက္သပိတ္ေမွာက္ကံေဆာင္ခဲ့ရာ အဆုိပါကိစၥႏွင့္ပတ္သက္၍ မိမိတုိ႕အရွက္ရခဲ့သည္ဟု
အာဏာပုိင္မ်ားက ၿမိဳ႕နယ္သံဃာ့မဟာနာယကဆရာေတာ္ႀကီးမ်ားကုိ ေလွ်ာက္ထားခဲ့ေၾကာင္း၊
ဆရာေတာ္ႀကီးမ်ားကလည္း ခရီးသြားခြင့္ကုိ ေရရွည္ပိတ္ပင္ရန္မသင့္ဘဲ အေရးေပၚကိစၥမ်ားအတြက္ ခြင့္ျပဳရန္ ျပန္လည္မိန္႔ၾကားခဲ့ေၾကာင္း အဆုိပါသံဃာက မိန္႔ၾကားသည္။
နအဖသည္ တန္ျပန္ ျပည္သူ႔သေဘာထားေဖာ္ထုတ္ပြဲမ်ားကုိ တႏုိင္ငံလုံးအတုိင္းအတာျဖင့္ အတင္းအက်ပ္ျပဳလုပ္လ်က္ရွိရာ မနက္ျဖန္ ေန႕လယ္ (၂) နာရီတြင္ ေကာ့ေသာင္းေလဆိပ္ ဗီြအုိင္ပီခန္းမတြင္ သံဃာ (၂၄) ပါးႏွင့္ ျမန္မာႏုိင္ငံ၏ ေတာင္ဘက္အစြန္းဆုံးျဖစ္ေသာ ဘုရင့္ေနာင္႐ုပ္ထုတည္ရွိရာ ၀ိတုိရိယအငူတြင္ သံဃာ (၂၄) ပါးအား ပရိတ္တရား၊ ပဌာန္းတရားႏွင့္
ကမၼ၀ါဖတ္ရန္ ပင့္ဖိတ္ထားေၾကာင္း သိရသည္။
ျမန္မာႏိုင္ငံလုံးဆိုင္ရာ သံဃာ့တပ္ေပါင္းစုက တႏိုင္ငံလုံးရိွသံဃာေတာ္မ်ားအား နအဖစစ္
အစိုးရႏွင့္ စစ္အစိုးရအာဏာပိုင္မ်ားအား ၿပီးခဲ့သည့္စက္တင္ဘာ (၁၈) ရက္မွစ၍ ပတၱနိကၠဳဇၹန ကံေဆာင္ရန္ ႏိႈးေဆာ္ထားခဲ့သည္။
ထိုသို႔သပိတ္ေမွာက္ကံေဆာင္ေနၾကသည့္ သံဃာေတာ္မ်ားအား နအဖအာဏာပို္င္မ်ားက ပစ္ခတ္ ရိုက္ႏွက္ဖမ္းဆီး ေထာင္ခ်ကာ ယခုေနာက္ပိုင္းတြင္ သံဃာေတာ္မ်ား အား ဆန္၊ ဆီ၊ ေဆး၊ ဆား စသည့္ လႉဖြယ္ပစၥည္းမ်ား အတင္းအဓမၼလႉဒါန္းေနေၾကာင္း သိရသည္။
Labels: ေဒသသတင္း
Tuesday, October 16, 2007
Foreign direct investment in Asia continues to rise
UNCTAD REPORT Published on October 17, 2007
Inflows to Thailand increase 9% to reach record US$10 billion
Foreign direct investment (FDI) inflows to South, East and Southeast Asia maintained their upward trend last year, rising by 19 per cent to reach a new high of US$200 billion (Bt6.83 trillion), according to the United Nations Conference on Trade and Development (Unctad) annual report on global investment trends.
South and Southeast Asia saw a sustainable increase in FDI flows, while growth in East Asia was slower. However, FDI in East Asia is shifting towards more knowledge-intensive and high value-added activities, Unctad economist Kee Swee Wee said yesterday
China and Hong Kong retained their positions as the largest FDI recipients in the region, followed by Singapore and India, according to the World Investment Report 2007.
Inflows to China fell 4 per cent to $69 billion last year, dropping for the first time in seven years due mainly to declining investments in financial services.
Hong Kong attracted FDI of $43 billion, Singapore $24 billion and India $17 billion, which was equivalent to India's preceding three years of inflows.
Meanwhile, FDI inflows to Thailand rose by 9 per cent in 2006, reaching a record of $10 billion and consolidating the country's position as the second-largest FDI recipient in Southeast Asia.
The acquisition of Shin Corp by Singapore's Temasek Holdings accounted for a large part of the Kingdom's FDI inflows.
FDI in the service sector in the region was considerably increased but FDI related to mergers and acquisitions in manufacturing dropped.
The report predicts that rapid economic growth in this region should continue attracting FDI to their countries in the coming year.
In the first half of this year, the value of cross-border merger and acquisition deals in the region rose nearly 20 per cent on year. FDI outflows from the region are also expected to increase.
The report also showed that rising demand for oil and gas and metals, particularly from Asia, has spurred an FDI boom in mineral exploration and extraction industries.
Those industries account largely for the recent increases in FDI in many mineral-rich developing countries, notably in Africa.
The boom has also triggered a series of cross-border mega-mergers in these industries, resulting in higher market concentration, said Masato Abe, an economic affairs officer with the UN Economic and Social Commission for Asia and the Pacific.
The report shows that the relative importance of transnational corporations (TNCs) varies between different extractive industries. In metal mining, 23 of the top 25 producers in 2005 were privately owned TNCs, whereas only two were majority-owned by the state.
In oil and gas, the majority of the top 50 producers were majority state-owned. Mostly such production was controlled by state-owned companies from developing and transition economies. For example, in 2005, the production of Saudi Arabia was more than twice that of the world's largest privately owned oil and gas producer, ExxonMobil.
Investment in extractive industries makes up the bulk of inward FDI in low-income countries. Due to small domestic markets and weak production capabilities, these countries tend to have few other industries to attract significant FDI.
Therefore, a large share of their national incomes is generated by revenues from mineral exploitation and exports. Unctad argues that the commodities boom should provide
opportunities for development and poverty alleviation in mineral-exporting countries. But considerable efforts to address the economic, environmental, social and political issues relating to mineral extraction are necessary for harnessing the earnings from extractive industries to boost development.
TNCs can influence the outcome. They may contribute capital, technology and management skills, and when domestic capabilities are lacking, such an approach is often the most viable option for exploiting natural resources.
In South, East and Southeast Asia, the value of cross-border mergers and acquisitions in extractive industries rose nearly fivefold to $1.7 billion.
Chalida Ekvitthayavechnukul
The Nation
Labels: Economy-Business-Finance
Myeik - Islands Town
It was my trip in September 2007 to the capital of the Southern of Myanmar. It's is a busy fishing port, and major logistics hub of Southern Myanmar. Apart from seafood that flourishes people's living, it also produces many local crops products like rubber, betel nut, coconut, cashew nuts. Myeik is famous for stills (compared to other places) virgin Archipelago of Mergui with 800 islands and islets, and its natural "Southern Pearl", and well-known for gradually extinct sea live people "Morgan".
Labels: Travel, ท่องเทียว, พม่า, ခရီးသြားျခင္း
Windows XP Genuine Problem
As most of us using Pirated Copies of Windows(for whatever reason else), some may be facing the following annoying problems. And below is one of the solutions.
1. Genuine Pop Up Screens
After updating windows online for a time, at the start up of windows, you might see such kind of screen saying your copy of windows is not genuine, and needs to register, .... You can download Windows Genuine Advantage Notification Remover and run it to remove it.
2. Unable to Update and Installs update like IE7, Windows Media Player 11, MS Private Folder
If you are unable to installs above programs, because after validating as below screen and fails.
Use the following Windows Genuine Patch to patch to registry. (Just double clike .reg file enough)
Enjoy with Windows. No more nightmares.
Labels: IT
Saturday, October 13, 2007
Friday, October 12, 2007
ราคาน้ำมัน
จุดเริ่มต้นที่ทำให้น้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มมีราคาสูงขึ้น เมื่อหลายปีก่อนเกิดจากการบริโภคน้ำมันที ่เพิ่มขึ้นอย่างมากของประเทศจีน เศรษฐกิจที่เติบโตในอัตรา 10% ต่อปีนั้นต้องการทรัพยากรมหาศาลมาช่วยขับดัน
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากจีนทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกเข้าไปใกล้ขีดจำกัด ของการผลิตน้ำมันของโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีแหล่งผลิตแหล่งใดแหล่งหนึ่งในโลกเกิดผลิตได้ น้อยกว่าปกติแค่นิดหน่อย ความขาดแคลนก็จะเกิดขึ้นทันที ราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาจึงมีความผันผวนเป็นอย่างมาก
โลกของเรานั้นยังมีน้ำมันที่ยังไม่ได้ถูกขุดขึ้นมาใช้อีกมากมายมหาศาล แต่ปัญหาก็คือว่าเรามีศักยภาพในการขุดน้ำมันขึ้นมาใช้เพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างจำกัด คือเพิ่มขึ้นได้แค่เพียง 2% ต่อปีเท่านั้น ในขณะที่การบริโภคน้ำมันของโลกเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมาแต่อุปทานน้ำมันกลับเพิ่มขึ้นในอัตราที่คงเดิม จึงเป็นไปได้ว่าโลกของเราจะยังคงขาดแคลนน้ำมันอย่างนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าอุปทานจะเริ่มไล่ตามอุปสงค์จนมีกำลังการผลิตส่วนเกินได้อีกครั้ง ในระหว่างนี้ ราคาน้ำมันจึงมีโอกาสที่จะผันผวนและอยู่ในระดับที่สูงโดยเฉลี่ย
ที่สุดแล้วน้ำมันไม่มีทางมีราคาสูงเพราะอุปสงค์ตลอดไปได้เพราะน้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ต้นทุนเฉลี่ยของการผลิตน้ำมันดิบในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ $20 ต่อบาร์เรลเท่านั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า น้ำมันควรมีราคาแค่ $20 ในทางเศรษฐศาสตร์ สินค้าโภคภัณฑ์ที่จุดสมดุลไม่ได้มีราคาเท่ากับต้นทุนเฉลี่ย (Average Cost) แต่มีราคาเท่ากับต้นทุนส่วนเพิ่ม (Marginal Cost) ต้นทุนส่วนเพิ่มคือต้นทุนของการผลิตน้ำมันบาร์เรลสุดท้ายที่ถูกนำมาสนองความต้องการของผู้บริโภคพอดี เป็นการยากที่จะคำนวณว่าปัจจุบันนี้ต้นทุนส่วนเพิ่มของน้ำมันดิบโลกอยู่ที่เท่าไร แต่เชื่อกันว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ $50 ต่อบาร์เรล ดังนั้นถ้าเชื่อทฤษฏีนี้น้ำมันจึงอาจจะยืนอยู่ในระดับที่สูงกว่า $50 ต่อบาร์เรลในระยะยาวก็ได้ น้ำมันคงไม่กลับไปที่ $20-$30 ได้อีกแล้ว เนื่องจากต้นทุนการผลิตน้ำมันแหล่งใหม่ๆ ที่อยู่ไกลแผ่นดินออกไปเรื่อยๆ มีราคาสูงขึ้น
เรื่องที่น่าเป็นห่วงเพราะอาจทำให้ราคาน้ำมันเข้าสู่จุดสมดุลได้ช้ากว่าที่คิดไว้มาก ก็คือการที่หลายประเทศที่เป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันดิบเริ่มมีนโยบายที่จะยึดแหล่งน้ำมันเข้ามาเป็นกิจการของรัฐฯ การไล่บริษัทผลิตน้ำมันข้ามชาติออกไป ทำให้ขาดเทคโนโลยีในการปรับปรุงการผลิตและค้นหาแหล่งน้ำมันแหล่งใหม่ๆ เวเนซูเอล่าเริ่มผลิตน้ำมันได้ลดลง 25% ของที่เคยผลิตได้ ในขณะที่การบังคับให้บริษัทข้ามชาติยกกรรมสิทธิ์แหล่งปิโตรเลียมให้เป็นของรัฐบาลในรัสเซีย ก็กำลังทำให้ผลผลิตปิโตรเลียมในรัสเซียเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลงอย่างมาก ปัจจุบันอิรักก็ยังผลิตน้ำมันได้ไม่เท่ากับที่เคยผลิตได้ก่อนเกิดสงคราม การเมืองของอิหร่านก็กำลังตึงเครียด ปัญหาของประเทศเหล่านั้นทำให้ปัญหาเรื่องโอเปคลดกำลังการผลิตกลายเป็นเรื่องเล็กๆ ไปเลย
ส่วนแนวคิดที่ว่าน้ำมันแพงขึ้นเพราะการเก็งกำไรนั้นเป็นแนวคิดที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิดโดยสิ้นเชิง จริงอยู่ที่การเก็งกำไรอาจมีผลต่อราคาได้บ้างแต่การเก็งกำไรอย่างเดียว โดยไม่มีเหตุผลรองรับนั้นไม่สามารถสร้างราคาให้ยืนอยู่ในระดับสูงได้นาน เพราะอย่าลืมว่าในตลาดมีทั้งนักเก็งกำไรที่ long และนักเก็งกำไรที่ short ด้วย ถ้าราคาปรับตัวขึ้นไปโดยขาดเหตุผล ไม่ช้าไม่นาน นักเก็งกำไรที่ short จะช่วยทำให้ราคาปรับตัวลงมาใหม่
ေကာ့ေသာင္း ကမၻာလွည့္ ခရီးသည္ ဝင္ေပါက္တြင္ Royalty Fees မ်ား တို႔ျမွင့္မည္
ဟိုတယ္ႏွင့္ ခရီးသြားလာေရးလုပ္ငန္းမွ တရားဝင္ထုတ္ျပန္ေၾကညာခ်က္တစ္ရပ္အား ေကာ့ေသာင္းဝင္ေပါက္မွဝင္ေရာက္လာသည့္ ကမၻာလွည္ ့ခရီးသြား မ်ားအား တစ္ဦးခ်င္း အလိုက္ ေကာက္ခံ ေနသည့္ Royalty Fees မ်ားအပါအဝင္ လိုင္စင္ေၾကးအားလုံးကို လာမည့္ ခရီးသြား ရာသီမွ စ၍ တိုးျမွင့္ေကာက္ခံသြားမည္ျဖစ္ေၾကာင္းသတင္းရရွိသည္။
Ref : Phoewa September 2007
အဆိုပါ ထုတ္ျပန္ေၾကညာခ်က္ပါ ေဖၚျပပါရွိခ်က္မ်ား အရတိုး ျမွင့္ေကာက္ခံ သြားမည့္ ႏႈန္းထား မ်ားမွာ ကမၻာလွည့္ခရီးသည္တစ္ဦးလွ်င္ လက္ရွိေကာက္ခံေနေသာ ေဒၚလာ ရွစ္ဆယ္ အစား၊ ေဒၚလာတစ္ရာ သို႔လည္းေကာင္း၊ ေကာ့ေသာင္းႏွင့္ ၿမိတ္ကၽြန္းစုတစ္ဝႈိက္ ခရီးသြား ကုမၸဏီမ်ား၏ လိုင္စင္ေၾကးကို ေဒၚလာ(၁၀၀၀)မွ ေဒၚလာ (၃၀၀၀)သို႔လည္းေကာင္း၊ သံုးစီးထက္ ပိုေသာ ကုမၸဏီပိုင္ ႐ြက္ေလွမ်ားကို ယခင္ ေကာက္ခံေသာ ေဒၚလာ(၃၀၀) အစား ေဒၚလာ (၁၀၀၀)သို႔ လည္းေကာင္း၊ အမည္ခံကုမၸဏီျဖင့္ အလ်ဥ္းသင့္သလို ဝင္ေရာက္ေနေသာ ႐ြက္ေလွမ်ားအား ေဒၚလာ (၅၀၀)ေကာက္ခံေနမႈကို ေဒၚလာ(၂၀၀၀)သို႔လည္းေကာင္း၊ ဧည့္လမ္းညႊန္တစ္ဦးလွ်င္ (၁၅)ေဒၚလာမွ ေဒၚလာ(၃၀)သို႔လည္းေကာင္း တိုးျမွင့္သြားမည္ျဖစ္သည္ဟုဆိုသည္။
ဟိုတယ္ႏွင့္ခရီးသြားလာေရးဝန္ႀကီးဌာန၏ တရားဝင္စာရင္းဇယားမ်ားအရ ယမန္ႏွစ္အတြင္းေကာ့ေသာင္းဝင္ေပါက္မွ ကမၻာလွည့္ခရီးသည္ စုစုေပါင္းတစ္သိန္းခုႏွစ္ေသာင္းေက်ာ္ ဝင္ေရာက္ခဲ့ၿပီး ယင္းခရီးသည္မ်ားအား တရားဝင္ မွတ္ပံုတင္ထားေသာ ခရီးသြားကုမၸဏီ(၃၂)ခုက လက္ခံ ဝန္ေဆာင္မႈမ်ားေပးလွ်က္ရွိသည္ဟုသိရွိရသည္။
Labels: ေဒသသတင္း
Thursday, October 11, 2007
การชุมนุมประท้วงต่อต้าน รัฐบาลพม่าที่ขึ้นราคาเชื้อเพลิง ซึ่งนำไปสู่การกวาดล้าง ประชาชนและพระสงฆ์อย่างรุนแรง ถึงขั้นนองเลือด และมีการควบคุม การสื่อสารทั้งหมดที่ใช ้ติดต่อกับโลกภายนอก รวมทั้งการประกาศห้ามบริษัทนำเที่ยวในพม่าจัดโปรแกรมเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศในระยะนี้ และมีการควบคุมอย่างเข้มงวดตามแนวชายแดนระหว่างประเทศไทยและพม่า เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวพม่า ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่ช่วยให้พม่าประคองตัวอยู่ได้ภายใต้ภาวะการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาและยุโรปจากกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยการท่องเที่ยวพม่าสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศสูงถึงประมาณปีละกว่า 6,000 ล้านบาทในปัจจุบัน
Ref - กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
แม้ว่าการท่องเที่ยวพม่าจะมีขนาดเล็กและเติบโตช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีน คือ เวียดนาม และกัมพูชา แต่ก็นับว่าพม่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง เมื่อพิจารณาจากสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต่างจากประเทศอื่นในอินโดจีน เนื่องจากพม่าเป็นประเทศที่ปกครองโดยรัฐบาลทหารมานานกว่า 45 ปี และเพิ่งเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปได้เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมานี้ ประกอบกับรัฐบาลพม่าให้ความสำคัญกับการรักษาเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมประจำชาติและเน้นความรักชาติ ไม่ส่งเสริมให้ประชาชนรับวัฒนธรรมต่างชาติ โดยเฉพาะวัฒนธรรมตะวันตก ด้วยการปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน ทั้งนี้เพื่อช่วยให้รัฐบาลสามารถควบคุมและปกครองประเทศได้อย่างมั่นคงมากขึ้น ทำให้พม่ามี “ความเป็นเอเชียในอดีต” ที่ปัจจุบันหาได้ยากในประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน
จุดเด่นของการท่องเที่ยวพม่าอยู่ที่เรื่องของวัฒนธรรม โบราณสถาน วัด และธรรมชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นเสน่ห์ของพม่าที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจากซีกโลกตะวันตก สถานที่ท่องเที่ยวของพม่าที่มีผู้ไปเยือนมากอันดับหนึ่ง คือ เจดีย์ชเวดากอง ในเมืองย่างกุ้ง ซึ่งเป็นเจดีย์ทองคำและเป็นศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดของพม่าโดยมีอายุกว่า 2,500 ปี สถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้ไปเยือนมากเป็นอันดับสองรองลงมา คือ พุกาม เมืองเก่าซึ่งเป็นที่ตั้งเจดีย์นับพันองค์
อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่า การท่องเที่ยวพม่าได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นตามลำดับตั้งแต่ต้นปี 2548 เป็นต้นมา หลังจากภูเก็ต แหล่งท่องเที่ยวชายทะเลยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากสึนามิ ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลอันดามันของพม่า ซึ่งมีความสมบูรณ์และสวยงามตามธรรมชาติ ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากสึนามิ ส่วนหนึ่งเพราะมีเกาะขนาดใหญ่และขนาดเล็กสลับซับซ้อน ทำให้สามารถกำบังคลื่นขนาดใหญ่ไปได้ระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ ทางการพม่ายังให้ความสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจังมากขึ้น
ดังนั้น แม้ในภาวะที่สถานการณ์ทางการเมืองของพม่าจะตึงเครียดเช่นที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปเที่ยวพม่าจำนวนมากในแต่ละปี โดยในปี 2549 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปยังพม่ารวมทั้งสิ้น 630,100 คนลดลงร้อยละ 5 จากปี 2548 ที่มีจำนวน 660,206 คน สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวให้พม่าในปี 2549 คิดเป็นมูลค่า 164 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากปี 2548 ที่มีมูลค่า 153 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางไปยังพม่าประมาณร้อยละ 80 เดินทางข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา ส่วนใหญ่เดินทางจากประเทศไทยเข้าไป รองลงมาเดินทางมาจากประเทศจีน ที่เหลืออีกร้อยละ 20 เดินทางผ่านสนามบินนานาชาติของพม่า
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังพม่าผ่านสนามบินนานาชาติที่เมืองย่างกุ้งรวมทั้งสิ้น 136,501 คนเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีจำนวน 111,000 คน นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปยังพม่ามากอันดับหนึ่งในช่วงครึ่งแรกปี 2550 คือ นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยจำนวน 20,301 คน รองลงมา คือ ฝรั่งเศสจำนวน 10,131 คน และญี่ปุ่นจำนวน 9,591 คน
สำหรับการท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทยและพม่าก็มีแนวโน้มเติบโตมาตามลำดับ และ คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 2,300 ล้านบาทในปี 2550 ทั้งนี้เนื่องจากไทยเป็นตลาดท่องเที่ยวสำคัญอันดับหนึ่งของพม่า โดยในปี 2549 มีคนไทยเดินทางเข้าไปยังพม่ารวมทั้งสิ้น 27,297 คนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากปี 2548 และมีการใช้จ่ายระหว่างที่พำนักอยู่ในพม่าคิดเป็นมูลค่าประมาณ 700 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากปี 2548 สำหรับในปี 2550 บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางเข้าไปยังพม่าเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30 เป็น 35,000 คนก่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศพม่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เป็นประมาณ 850 ล้านบาท (ไม่รวมนักท่องเที่ยวจากประเทศที่สามที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทย และเดินทางท่องเที่ยวต่อไปยังพม่าอีกปีละจำนวนมาก)
ขณะที่พม่าก็เป็นตลาดท่องเที่ยวในอาเซียนที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย จากสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่า ในปี 2549 มีนักท่องเที่ยวพม่าที่ขออนุญาตเดินทางเข้ามายังประเทศไทย (ไม่รวมนักท่องเที่ยวพม่าที่เดินทางข้ามมายังประเทศไทยตามด่านชายแดนซึ่งเดินทางกลับในวันเดียวกัน และแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าประเทศไทยมาอย่างผิดกฎหมาย) รวมทั้งสิ้น 67,054 คนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากปี 2548 และสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวให้ประเทศไทยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,150 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากปี 2548 สำหรับในปี 2550 บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากพม่าเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เป็นประมาณ 78,000 คน สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,450 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 26
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความไม่สงบในพม่าและการควบคุมอย่างเข้มงวดทั้งด้านการสื่อสารในประเทศและตามด่านชายแดนระหว่างไทยกับพม่า ส่งผลบั่นทอนความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวคนไทยในการเดินทางเข้าไปยังพม่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ขณะที่สถานการณ์ภายในประเทศพม่ายังไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวพม่ามายังประเทศไทย ประกอบกับทางการพม่าประกาศห้ามบริษัทนำเที่ยวจัดโปรแกรมเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศในช่วงนี้
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จึงคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวระหว่างไทยและพม่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 มีแนวโน้มได้รับผลกระทบ จากการเดินทางของนักท่องเที่ยวคนไทยไปยังประเทศพม่า มีแนวโน้มลดลงเกือบร้อยละ 60 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 ส่งผลให้โดยรวมในปี 2550 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางไปยังพม่าเพียง 28,000 คนจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 35,000 คน ส่งผลกระทบทำให้พม่ามีรายได้จากนักท่องเที่ยวคนไทยลดลงประมาณ 130 ล้านบาทเหลือเพียง 720 ล้านบาท จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ประมาณ 850 ล้านบาท
การเดินทางของนักท่องเที่ยวพม่ามายังประเทศไทย นักท่องเที่ยวพม่ากลุ่มที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยกับบริษัทนำเที่ยวซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 มีแนวโน้มได้รับผลกระทบโดยตรงจากการประกาศห้ามจัดโปรแกรมท่องเที่ยวต่างประเทศของทางการพม่า ขณะที่นักท่องเที่ยวพม่ากลุ่มที่เดินทางมายังประเทศไทยกันเองมีแนวโน้มชะลอการเดินทางในช่วงนี้ออกไป ทำให้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวพม่าเดินทางเข้ามายังประเทศไทยลดลงเกือบร้อยละ 80 จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ส่งผลให้โดยรวมในปี 2550 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวพม่าเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพียง 60,000 คนจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 78,000 คนส่งผลให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวพม่าประมาณ 350 ล้านบาทเหลือเพียง 1,100 ล้านบาท จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ประมาณ 1,450 ล้านบาท
โดยรวมแล้วคาดว่าในปี 2550 การท่องเที่ยวระหว่างไทยและพม่าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศพม่า ส่งผลให้ปริมาณการท่องเที่ยวระหว่างทั้ง 2 ประเทศถดถอยลงกว่าร้อยละ 60 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และกระทบต่อรายได้ด้านการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศทำให้มีแนวโน้มลดลงประมาณ 480 ล้านบาทเหลือเพียง 1,820 ล้านบาทจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ประมาณ 2,300 ล้านบาท
เหตุการณ์รุนแรงในประเทศพม่ายังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวโดยรวมของพม่าที่กำลังมีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจากประเทศในแถบยุโรป เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะไม่มั่นใจด้านความปลอดภัยในการเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศพม่าแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนและพระสงฆ์ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่พำนักอยู่ในพม่าต่างรีบทยอยเดินทางออกจากพม่า ขณะที่จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปยังพม่าในช่วงนี้น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจที่มีความจำเป็นจริงๆที่จะต้องเดินทางเข้าไปติดต่อเรื่องการค้าการลงทุนในพม่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่วางแผนเดินทางมาเที่ยวพม่าในช่วงปลายปีนี้ ส่วนใหญ่ต่างเปลี่ยนแผนการเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศอื่นในอินโดจีนแทน อาทิ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และไทย
คาดว่าโดยรวมตลอดทั้งปี 2550 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปยังพม่าประมาณ 600,000 คน ลดลงร้อยละ 20 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ประมาณ 750,000 คน ส่งผลกระทบทำให้พม่ามีรายได้ด้านการท่องเที่ยวสะพัดเข้าประเทศลดลงประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเหลือเพียง 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Wednesday, October 10, 2007
จีน&อินเดีย The Power of the World
by สรวิศ อิ่มบำรุง Bangkok Business
ใครๆ ก็ไปเที่ยว "อินเดีย" กับ "จีน" ได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียและจีนได้
ทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่ คนไทยจะลัดฟ้าไปลงทุนในจีนและอินเดีย เพราะบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหลายแห่ง ขายกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนและอินเดีย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่เกิดวิกฤติซับไพร์มขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ยิ่งทำให้เสน่ห์ของเอเชียโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ในฐานะที่เป็นภูมิภาคที่จะเป็นแหล่งรองรับเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล ที่จะไหลออกมาจากสหรัฐเข้ามาในภูมิภาคนี้
แล้วถ้าจะพูดถึงเอเชียในปัจจุบันคงต้องนึกถึง 2 ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและอินเดีย ที่แม้ปัจจุบันจะเป็นเครื่องจักรที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอยู่ในตอนนี้ แต่ก็มีการคาดการณ์กันว่าภายในปี 2050 ทั้ง 2 ประเทศนี้จะก้าวขึ้นมาเป็น "Top 3" ทางเศรษฐกิจของโลก
อะไรคือ เสน่ห์และความน่าสนใจของจีนและอินเดีย Fundamentals สัปดาห์นี้มีเรื่องราวมานำเสนอ
ศักยภาพ และความเสี่ยงที่ต่างกันของจีน-อินเดีย
ด้วยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และอินเดียในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นของทั้ง 2 ประเทศปรับตัวขึ้นมาเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดติดอันดับโลกในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา จึงทำให้มีหลาย บลจ.ออกกองทุนคุ้มครองเงินต้นโดยลิงค์ผลตอบแทนไปกับดัชนีตลาดหุ้นจีน เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีจากตลาดหุ้นจีนได้ หรือแม้แต่การออกกองทุน FIF ที่ลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียเองก ็ช่วยเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้มีโอกาสได้รับประโยชน์ จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีนและอินเดียอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ในช่วงหลังจึงได้มีบาง บลจ.ที่จัดตั้งกองทุน FIF เพื่อที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีน และอินเดียโดยเฉพาะ เริ่มตั้งแต่ "กองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตรงท์ ไชน่า แวลู" ของบลจ.แมนูไลฟ์ ,"กองทุนเปิดทหารไทย ไชน่า อิควิตี้ อินเด็กซ์" ของบลจ.ทหารไทย และล่าสุดกับ "กองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์" ของบลจ.ทิสโก้ ซึ่งถือเป็น บลจ.แรกที่เข้าไปลงทุนในอินเดีย ซึ่งกำลังเสนอขายหน่วยลงทุนอยู่ระหว่างวันที่ 1-12 ต.ค.50 นี้ จึงถือว่าเป็นเพียง 3 กองทุนที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนหรืออินเดียโดยตรงในปัจจุบัน
@จีน-อินเดียมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในปี 2050 เกี่ยวกับเรื่องนี้ "ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" กรรมการผู้จัดการ กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บล.ไทยพาณิชย์ บอกว่า ถ้าพูดถึงศักยภาพของ 2 ประเทศ จีน มีพลเมืองประมาณ 1,300 ล้านคน ขนาดเศรษฐกิจประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เศรษฐกิจประเทศเติบโตเฉลี่ย 10-11% ต่อปี ในขณะที่อินเดียประชากรประมาณ 1,100 ล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเศรษฐกิจของประเทศเติบโตเฉลี่ย 8-9% ต่อปี ภาพศักยภาพของจีน และอินเดียค่อนข้างชัดเจนในเชิงโครงสร้างที่จะสามารถเติบโตต่อไป ได้ในระยะยาวอย่างต่อเนื่องแม้จะมีความเสี่ยงในระยะสั้นเกิดขึ้นบ้างก็ตาม
แต่เรื่องที่ทำให้คนตื่นเต้นเกี่ยวกับจีนและอินเดีย เพราะมีการคาดการณ์โดยโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งได้รับความสนใจพอสมควรโดยเขาพยายามมองว่าโลกของปี 2050 หน้าตาจะเป็นยังไง ขนาดเศรษฐกิจโลกในปี 2050 ในโลกเศรษฐกิจอะไรจะเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งจากการคาดการณ์นี้พบว่าในปี 2050 เศรษฐกิจของประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก 3 อันดับแรก ได้แก่ จีน ,สหรัฐ และอินเดีย นั่นหมายความว่าในปี 2050 ตามการคาดการณ์นี้จีน และอินเดียจะก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจติด Top3 ของโลกเลยทีเดียว
"โดยเศรษฐกิจของจีนจะแซงขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในดอลลาร์เทอมในปี 2015 อีกไม่ถึง 15 ปี และแซงสหรัฐอเมริกาในปี 2040 ส่วนอินเดียจะแซงญี่ปุ่นในปี 2032 โดยเศรษฐกิจของอินเดียในปี 2050 จะใหญ่กว่าทุกประเทศยกเว้นจีน และสหรัฐ นี่เป็นศักยภาพของทั้ง 2 ประเทศในการเติบโต ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธความจริงข้อนี้ ในระยะยาวเศรษฐกิจของ 2 ประเทศนี้สื่อว่าทั้ง 2 ประเทศจะก้าวขึ้นมาเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกที่สำคัญ"
@ศักยภาพเชิงโครงสร้างที่ต่างกันของจีนและอินเดีย โดย ดร.เศรษฐพุฒิ ยังบอกอีกว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียเฉลี่ย 8-9% ต่อปี ในขณะที่จีนเองก็โตในระดับ 10-11% ต่อปี แล้วทั้ง 2 ประเทศน่าจะรักษาระดับการเติบโตในระดับที่สูงเอาไว้ได้ แม้ในอนาคตอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกประเทศในโลกโดยรวม จะมีแนวโน้มชะลอตัวลงก็ตาม แต่จะเห็นว่าการเติบโตของจีน และอินเดียก็ยังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศนี้ไม่เหมือนกัน โครงสร้างทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศนี้ก็ต่างกัน
จีนจะเป็นการเติบโตที่พึ่งพิงอุตสาหกรรม มีการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศเข้ามา ค่อนข้างมากซึ่งมีการประเมินว่าตัวเลขดังกล่าวจะยังคงสูงต่อเนื่องในอีก 5-6 ปีข้างหน้า ในขณะที่อินเดียเศรษฐกิจ โตจากด้านบริการและการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเองไม่ได้โตเท่าที่ควร
นอกจากนี้ การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในอินเดียต่ำกว่าจีนค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากความไม่พร้อมในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอินเดียเองที่ โตไม่ทันกับเศรษฐกิจของประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
"แม้ว่าตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศนี้จะไม่เหมือนกัน แต่ปัญหาที่ทั้ง 2 เศรษฐกิจนี้จะต้องเจอคือ การที่เขาจะต้องก่อให้เกิดการจ้างงานให้ได้ แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็ช่วยในเรื่องของการจ้างงานค่อนข้างมาก ต้องยอมรับว่าในอินเดียถ้าภาคอุตสาหกรรมไม่โตเร็วความสามารถที่ จะดูดซับแรงงานที่ถูกปล่อยออกมาจากภาคเกษตรจะทำได้ไม่ดี จะเข้ามาในภาคบริการเองก็อาจจะทำได้ไม่ดีนัก ในขณะที่จีนแรงงานจากภาคเกษตรสามารถเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมรองรับได้ค่อนข้างดี"
@ภาครัฐถอยเหตุเบื้องหลังทำเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศเติบโต ดร.เศรษฐพุฒิ บอกว่าในช่วงที่ผ่านมา เราคงจะคุ้นเคยกับ "BRICs" ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ได้แก่ บราซิล ,รัสเซีย ,อินเดีย และจีน แต่ใน 4 ประเทศนี้ตัวที่มีความสำคัญมากที่สุดคือ จีนกับอินเดีย
ข้อเท็จจริงคือ เศรษฐกิจจีนและอินเดียเติบโตขึ้นมาได้เพราะภาครัฐถอย แล้วปล่อยให้เอกชนเขาโตจึงถือว่าทั้ง 2 ประเทศนี้ สามารถจับกระแสของโลกาภิวัตน์ และกระแสเงินลงทุนของต่างชาติได้ค่อนข้างดี เมื่อก่อนจีนควบคุมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นควบคุมราคา ควบคุมดอกเบี้ย ควบคุมสินเชื่อ ควบคุมทุกอย่าง ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้โอกาสที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ โอกาสที่ทรัพยากรจะไปในทิศทางที่ควรจะเป็นก็จะน้อยลง
ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศโตได้ที่สำคัญจึงมาจากการถอยออกของภาครัฐเพื่อให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะประชากรของทั้ง 2 ประเทศมีมากมานานแล้ว แต่ประเทศเพิ่งมาโตในช่วงหลังเพราะภาครัฐถอย เปิดเศรษฐกิจมากขึ้น
"โดยเฉพาะจีนนี่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก(World Trade Organization
: WTO) เพราะมีเงื่อนไขสารพัดที่จีนต้องทำเพื่อที่จะเปิดเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น คือ รัฐเริ่มที่จะถอยกับการมีบทบาทในการควบคุมเศรษฐกิจ แล้วปลดปล่อยให้กระแสเงินลงทุนเข้ามามีบทบาทในการจัดสรรทรัพยากรมากยิ่งขึ้น อินเดียก็เช่นเดียวกัน"
@ความเสี่ยงที่ต่างกันของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย เมื่อมองถึงโอกาสแล้วก็ต้องมามองถึงความเสี่ยงกันด้วย ดร.เศรษฐพุฒิ มองว่า ทั้งอินเดียและจีนถ้ามองในระยะยาวมีศักยภาพในการเติบโตที่มาจากปัจจัยพื้นฐานของประเทศจริงๆ แต่ก็มีจุดที่น่าจับตามองของเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ต่างกันออกไป
โดยอินเดียจะมีปัญหาในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ไม่ง่าย การที่โครงสร้างพื้นฐานของอินเดียมีปัญหา ก็เนื่องมาจากเศรษฐกิจของอินเดียไม่ได้โตมานานมากแล้ว สมัยก่อนเศรษฐกิจอินเดียโตปีละ 3-4% ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ได้โตเท่าไร เพราะฉะนั้นอินเดียจึงเฉยในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานมานานมากๆ แต่พอเศรษฐกิจมันเริ่มโตจึงเจอปัญหาในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานค่อนข้างมาก อย่างเมืองมุมไบเมืองการค้าของอินเดียไปเจอโครงสร้างพื้นฐานแล้วจะหนาว ถนนเล็กและแคบมีหลุมเต็มไปหมด
ดร.เศรษฐพุฒิ เล่าว่าเคยมีโอกาสพบกับ ผู้ที่มีส่วนดูแลในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของอินเดีย เขาก็บอกว่าตัวเลขที่รัฐวางแผนเอาไว้ว่า จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเท่าโน้นเท่านี้ น่าจะทำไม่ได้ เพราะ 1)หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบมีข้อจำกัดในการที่จะทำตามแผนพอสมควร นี่จะต่างกับจีนและนั่นคือจุดแข็งของจีน 2)ทรัพยากรที่จะนำมาใช้เพื่อลงทุนในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานนั้นต้องการมากมายมหาศาล เขาคำนวณตัวเลขมาว่าถ้าจะทำการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานตามแผนที่รัฐบาลวางเอาไว้ นั่นหมายความว่าจะต้องดูดเงินจากการลงทุนภาคเอกชนจำนวนมหาศาล จนภาคเอกชนจะไม่เหลือทรัพยากรที่จะไปใช้ลงทุน
"ถามว่าแล้วอินเดีย ว่าจะสามารถกู้เงินมาลงทุนได้มากมายมั้ย ก็มีข้อจำกัดเพราะว่าอินเดียในแง่เศรษฐกิจของประเทศยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ ซึ่งถ้าไปกู้ยืมมากก็จะยิ่งขาดดุลมาก ดังนั้นในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานจึงเป็นจุดอ่อนของอินเดียแล้วแก้ไขได้ไม่เร็วแล้วก็ไม่ง่ายด้วย"
ในขณะที่จีนเองที่น่าจับตามองจะเป็นเรื่องของเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมาก เรื่องของราคาสินทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นมามากเริ่มปรับตัวขึ้นมาแรง เช่น ราคาอสังหาริมทรัพย์ในอินเดีย หรือจีนก็ตาม หรือในตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก
@จีนและอินเดียเติบโตแบบฟองสบู่หรือไม่ เชื่อว่าเป็นคำถามที่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็อยากจะรู้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ดร.เศรษฐพุฒิ ตอบว่า ถ้ามองการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ คือ จีนและอินเดีย คนมองด้วยความเป็นห่วงเพราะเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศนี้เติบโตเร็วมาก มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะร้อนแรงเกินไป(Over Heat) มีโอกาสที่จะเกิดเป็นฟองสบู่แล้วแตกจนเศรษฐกิจตกลงมามั้ย เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้โอกาสพวกนี้มีอยู่แล้วแต่ถ้าดูโดยรวมของทั้ง 2 ประเทศพบว่ายังไม่ค่อยน่าเป็นห่วงนัก ถ้าเศรษฐกิจร้อนแรงมาก แสดงว่าดีมานด์มากกว่าซัพพลาย หรือการใช้จ่ายมากกว่ารายได้ของประเทศ สิ่งที่จะสะท้อนให้เห็นทันทีคือ "ดุลบัญชีเดินสะพัดต้องขาดดุล" เหมือนกับไทยช่วงก่อนวิกฤติ เพราะว่าการที่เราขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แสดงว่ารายจ่ายมากกว่ารายได้ของเรา
"แต่จีนทราบกันดีว่าบัญชีเดินสะพัดเกินดุลค่อนข้างมากประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) แสดงว่าจีนผลิตมากกว่าการบริโภคภายในประเทศที่เหลือก็ส่งออก นี่เป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าเศรษฐกิจจีนไม่ได้ร้อนแรงเท่าไร ในขณะที่อินเดียต่างออกไป ถ้าถามสัญญาณของ Over Heat ต้องบอกว่าอยู่ที่อินเดียมากกว่า เพราะจีนดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล แต่อินเดียขาดดุลบัญชีเดินสะพัดประมาณ 3% ของจีดีพี จริงๆ หลักๆ ตัวที่ช่วยอินเดียคือ เรื่องของบริการ "
อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วคิดว่าเศรษฐกิจโดยรวมของทั้ง 2 ประเทศจะเติบโตได้เฉลี่ยในระดับ 8-10% โดยมองว่าอินเดียเองเศรษฐกิจไม่น่าจะโตไม่ต่ำกว่าปีละ 5% ไปในอีก 30 ปีข้างหน้า เพราะในแง่ของประชากรอินเดียมีโครงสร้างประชากรที่อายุน้อยที่สุด คนที่จะอยู่ในวัยทำงานจะมีระยะเวลายาวนานขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจอื่นๆ ของโลกจะมีประชากรในวัยแรงงานที่เริ่มอ่อนตัวลง
@จุดแข็งที่ต่างกันของจีนและอินเดีย ดร.เศรษฐพุฒิ บอกว่า จุดแข็งของจีนจะเป็นในเรื่องของประสิทธิภาพในการผลิตที่ดี และการแปลงนโยบายต่างๆ ของภาครัฐมาสู่ผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ แต่อินเดียเองก็มีจุดแข็งที่แตกต่างกันออกไป โดยอินเดียมีความยืดหยุ่นทางการปกครองที่สูงกว่า
นอกจากนี้ จุดแข็งอีกอันของอินเดียคือ มีบริษัทที่มีธรรมาภิบาลติดอันดับโลก(World Class Corporations) ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะบริษัทเหล่านี้เติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ต้องแข่งขัน แล้วเป็นการเติบโตเพื่อที่จะขึ้นมาแข่งขันในระดับโลกเลย ซึ่งมีบริษัทอินเดียหลายแห่งที่ติดอันดับโลกในปัจจุบัน ความน่าสนใจอยู่ที่ในอดีตอินเดียปิดประเทศมาตลอด อยู่ในฐานะที่เป็นผู้บริโภคคุณเลือกไม่ได้คุณต้องเป็นผู้บริโภคตลอด แต่ความที่อินเดียต้องการไปแข่งขันกับโลกจากเดิมที่เขาไม่มีอะไรเลย แต่ขณะนี้อินเดียเริ่มเปิดประเทศ แล้วบริษัทในประเทศเขาก็ปรับตัวได้เร็วมากมันสื่อถึงว่าศักยภาพของบริษัทอินเดียที่มีค่อนข้างสูง
"ต่างกับจีนที่อยู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับ 9-10% ต่อปี มานานมากแล้ว เหมือนไทยตอนวิกฤติที่มีโอกาสที่กราฟจะพลิกกลับลงมาได้ แต่ของอินเดียเศรษฐกิจเขาเหมือนกับผ่านจุดที่สโลว์ดาวน์มาแล้ว มันถูกกดดันมาแล้วระดับหนึ่ง บริษัทในอินเดียจึงถือเป็นจุดแข็งของอินเดียเลย"
ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลคร่าวๆ ที่น่าจะทำให้คุณรู้จักกับจีนและอินเดียได้มากขึ้นไม่มากก็น้อย เพื่อประโยชน์ในการลงทุนของคุณเองในอนาคต
Sunday, October 7, 2007
น้ำป่าไหลทะลักท่วมเขตเทศบาลระนอง
ระนองน้ำป่าไหลทะลักท่วมเขตเทศบาลเมือง พื้นที่ตำบลบางริ้น ตำบลบางนอน และปากน้ำ
เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 6 ตุลาคม 2550 ที่จังหวัดหวัดระนองได้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมในหลายชุมชน และหมู่บ้านในเขตเทศบาลเมืองระนอง และพื้นที่หมู่ที่ 4-6 ตำบลบางริ้น และหมู่ที่ 1-4 ตำบลบางนอน อ.เมืองระนอง หลังจากช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา( 5 ต.ค.)ได้เกิดฝนตกหนักมาตลอดทั้งคืน ทำให้ปริมาณน้ำนคลองหาดส้มแป้น ที่ไหลผ่านตัวเมืองระนองมีระดับน้ำสูงขึ้นจนล้นตลิ่งประกอบกับมีน้ำทะเลหนุนเข้ามา อีกทั้งยังมีฝนตกลงมาอย่างหนัก และต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกแต่อย่างใด น้ำได้ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือน ประชาชนต้องรีบขนย้ายข้าวของในบ้านเพื่อหนีน้ำเป็นการเร่งด่วน เนื่องจากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 ตุลาคม 2550
ขณะที่ถนนสายเพชรเกษมบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 611-612 ต.บางนอน น้ำป่าจากภูเขาได้ไหลทะลักเข้าท่วมถนน ทำให้รถติดเป็นแถวยาว รถเล็กไม่สามารถสัญจรไปมาได้ รวมทั้งถนนสายสะพานปลาน้ำท่วมเป็นจุด ๆ เช่นเดียวกัน
ส่วนในพื้นบ้านเขานางหงส์ ม.5 ต.ปากน้ำ อ.เมืองระนอง ได้มีดินเลื่อนไหลลงมาทับทางจำนวน 3 จุด ประกอบด้วยเส้นทางไปบ้านหินช้าง เส้นทางไปท่าเรือเอนกประสงค์ และเส้นทางไปท่าเรืออันดามันคลับ รถไม่สามารถสัญจรไปมาได้ เจ้าหน้าที่จาก องค์การบริหารส่วนตำบลปากน้ำ อบต.ปากน้ำ ต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวทราบเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางบริเวณดังกล่าว พร้อมทั้งประสานเจ้าเจ้าที่ทางหลวงชนบทให้นำเครื่องจักรมาทำการตักดินนออก
Labels: ระีนอง - เกาะสอง
Friday, October 5, 2007
พม่าประท้วงทำการค้าชายแดน จ.ระนอง ตกกว่า 2 ล้านบาท
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 กันยายน 2550
นายพงษ์เทพ บัวทรัพย์ นายด่านศุลกากรระนอง เปิดเผยว่า ปัญหาการประท้วงในพม่าส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนไทย-พม่า ระหว่าง จ.ระนอง กับเกาะสอง จากเดิมมีมูลค่าการค้าประมาณเดือนละ 900 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือเพียง 500-600 ล้านบาท เนื่องจากพม่าเข้มงวดเรื่องการนำเข้าและส่งออกสินค้า จะได้มีการประสานงานกับพม่าเพื่อความสัมพันธ์อันดี หากการประท้วงยืดเยื้อย่อมส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนแน่นอน
Labels: พม่า, ระีนอง - เกาะสอง, เศรษฐกิจ
ค้าชายแดนแม่สอดอ่วม สารพัดปัญหารุมเร้า หวั่นสิ้นปียอดต่ำหมื่นล.
หากกล่าวถึงด่านการค้าชายแดนไทย-พม่า ปัจจุบันมี 3 ด่านหลักที่มีการทำการค้าเป็นล่ำเป็นสัน คือ ด่านการค้าชายแดนด้านจังหวัดระนอง-เกาะสอง ด่านการค้าชายแดนแม่สอด(จังหวัดตาก)-เมียวดี และด่านการค้าแม่สาย(จังหวัดเชียงราย)-ท่าขี้เหล็ก และบรรดาด่านการค้าทั้ง 3 ด่านดังกล่าว การค้าด้านอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กับจังหวัดเมียวดีของพม่า ดูจะเป็นด่านที่เผชิญปัญหามากที่สุดในรอบปีนี้ ส่งผลให้ยอดการค้า อยู่ในภาวะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างเห็นได้ชัด
ครึ่งปีแรกยอดรูด 20%
นายอำพล ฉัตรไชยา ฤกษ์ ประธานหอการค้าจังหวัดตาก กล่าวถึงสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-พม่า ผ่านด่านศุลกากร แม่สอด-เมียวดี อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2550 ว่า ตัวเลขการค้าลดลงกว่า 20 % เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 มูลค่าการส่งออกตกลงเหลือเดือนละ 600-700 ล้านบาท จากที่เคยส่งออกเดือนละ 1,000-1,300 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขการค้าลดลงไปแล้ว 1,600 ล้านบาท และแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2550 ยังไม่มีทีท่าว่าจะกระเตื้องขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง หรือมีสิ่งบอกเหตุที่ทำให้สถานการณ์การค้าดีขึ้น
สาเหตุหลักที่ทำให้ตัวเลขส่งออกการค้าชายแดนลดลงมาจาก 5 ปัจจัยหลัก คือ 1.เงินจ๊าตพม่าตกลงเหลือเพียง 100 จ๊าต แลกเงินบาทได้เพียง 2.80 บาท(อัตราแพงเปลี่ยนในช่วงครึ่งปีแรก) ทำให้ดูเหมือนว่า สินค้าไทยราคาแพง 2.สินค้าไทยในพม่ากำลังถูกประเทศจีนเข้าไปตีตลาด ซึ่งมีสินค้าลอกเลียนแบบ และราคาสินค้าจีนถูกกว่าสินค้าไทย 20-30 % ทั้งๆที่คุณภาพสู้ไทยไม่ได้ แต่ชาวพม่า เห็นว่าราคาถูกกว่า 3.พม่ามีการจัดระเบียบการค้าชายแดนและมีการเข้มงวด รวมไปถึงการจับกุมสินค้าไทย และยังมีการจับกุมพ่อค้าพม่าที่สั่งซื้อสินค้าจากไทย 4.เมื่อสะพานมิตรภาพไทย-พม่า มีการ ชำรุด มีรอยเลื่อนเคลื่อนตัว ต้องมีการซ่อมแซม กรมทางหลวงสั่งห้ามรถบรรทุกผ่าน จึงต้องมีการทยอยขนสินค้าลงรถบรรทุกเล็ก ส่งผลให้ต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้น และ 5. ปัญหาของชนกลุ่มน้อย ที่ยังมีการต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลตามแนวชายแดน ปัจจัยที่กล่าวว่าล้วนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างสูงต่อตัวเลขการส่งออกสินค้าไปพม่า
ปิด19ท่าเรือฉุดยอดการค้า
ขณะที่การค้าชายแดนแม่สอด-เมียวดีในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 ผ่านมาเกือบ 3 เดือน ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แถมเจอปัญหาใหม่ซ้ำเติมเข้าไปอีก ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา ฝ่ายปกครองตาก(แม่สอด)-ด่านตรวจคนเข้าเมือง(ต.ม.) ตาก(ด่านแม่สอด) ทำการปิดจุดผ่อนผันการค้า 19 ท่าเรือตามแนวชายแดน ไทย-พม่า แม่สอด-เมียวดี โดยให้เหตุผลว่า เป็นมาตรการควบคุมแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองและปัญหาอาชญากรรม
พ.ต.อ.ทัศวัฒน์ บุญญาวัฒน์ ผู้กำกับการด่านตรวจคนเข้าเมืองตาก(ด่านแม่สอด) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2550 เป็นต้นไป ฝ่ายปกครองจังหวัดตากและด่าน ตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ตาก จะปิดจุดผ่อนผันการข้ามแดนตามช่องทางท่าเรือขนส่งสินค้า ริมแม่น้ำเมย ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ทั้ง 19 แห่ง ตามชายแดนไทย-พม่า แม่สอด-เมียวดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองแม่สอดและ ด่าน ต.ม.จะไม่ออกบัตรข้ามแดนให้บุคคลที่จะข้ามแดนทางช่องทางท่าเรือ โดยจะอนุญาตให้ทำบัตรผ่านแดนและเข้า- ออก ช่องทางสะพานมิตรภาพไทย-พม่าเพียงแห่งเดียว
ทั้งนี้เป็นไปตามมติที่ประชุม การจัดระเบียบชุมชนเพื่อให้เกิดความมั่นคงกับประชาชนคนไทยตามแนวชายแดน เพราะต้องการควบคุมและตรวจสอบบุคคลต่างด้าว ที่เข้า-ออกในประเทศ โดยการจัดทำบัตร ถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อการควบคุมและตรวจสอบได้ง่าย หากบุคคลดังกล่าวไปก่อปัญหาในประเทศ ประกอบกับตามท่าเรือเป็นจุดล่อแหลมของการลักลอบเข้าเมือง เพื่อไปขายแรงงานในพื้นที่ชั้นในของไทย เนื่องจากที่ผ่านมาเมื่อปี 2540 ได้มีการผ่อนผันให้เปิดช่องทางเข้า- ออก ชายแดน ตามท่าเรือเพื่อให้ประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง ได้เดินทางไป-มาหาสู่กัน เพราะพม่ามีการปิดชายแดนและไม่ให้ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-พม่า อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
ดังนั้นฝ่ายไทยจึงเปิดท่าเรือและเมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ มีการข้ามแดนอย่างถูกต้องทางด่านถาวร สะพานมิตรภาพไทย-พม่า จึงต้องปิดการข้ามแดนในจุดอื่นๆ เช่น ท่าเรือ อย่างไรก็ตาม หากมีการข้ามแดนมาอย่างถูกต้องทางสะพานมิตรภาพฯ ประชาชนก็สามารถไปทำธุรกิจหรือประกอบกิจกรรมตามช่องทางอื่นๆได้ปกติ
นายสุชาติ สุวรรณกาศ นายอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก(นายชุมพร พลรักษ์) ได้สั่งปิดไม่ให้มีการทำบัตรผ่านแดน แก่ผู้ที่ข้ามมาทางท่าเรือ ตามข้อเสนอของต.ม.ตาก และมติที่ประชุมคณะกรรมการการจัดระเบียบชุมชนชายแดน โดยอนุญาตให้ข้ามแดนได้เฉพาะช่องทางสะพานมิตรภาพฯเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการให้ความร่วมมือกับฝ่ายพม่า ที่ต้องการ ควบคุมการเก็บภาษีสินค้า และที่สำคัญคือ การป้องกันปัญหาความมั่นคงและการก่ออาชญากรรมข้ามแดน ที่จะสามารถควบคุมได้ และตรวจสอบได้รวดเร็วแก้ไขปัญหาได้ฉับไว เนื่องจากการข้ามแดนทางช่องทางที่ถูกต้องนั้น ทั้งฝ่ายไทยและพม่า จะควบคุม เอกสาร การพิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายรูป หากบุคคลใดข้ามแดนแล้วไม่กลับ ก็จะติดตาม กลับได้ ตามเอกสารหลักฐานที่ข้ามแดน และ
ฝ่ายปกครองยืนยันว่า การปิดท่าเรือ ไม่ให้มีการข้ามแดนของบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับการทำการค้าขายชายแดน โดยพ่อค้าสามารถทำการค้าได้อย่างปกติ โดยทางสะพานมิตรภาพฯ หรือเมื่อข้ามแดนมาแล้วก็สามารถไปติดต่อการค้าช่องทางท่าเรือก็ได้ และจะไม่กระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจตามท่าเรือขนส่ง สินค้า
นายเสรี ไทยจงรักษ์ นายด่าน ศุลกากรแม่สอด กล่าวว่า ด่านศุลกากร มีนโยบายส่งเสริมการค้าชายแดน ส่วนเรื่องการปิดท่าเรือและไม่ทำบัตรผ่านแดนช่องทางท่าเรือนั้น ด่านศุลกากรไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของฝ่ายปกครองและ ต.ม. และยืนยันว่าด่านศุลกากรเปิดจุดผ่อนปรนท่าเรือ เพื่อส่งเสริมการค้า เพื่อให้เกิดรายได้ การปิดท่าเรือเป็นเรื่องของการปิดเฉพาะห้ามบุคคลข้ามแดนในช่องทางท่าเรือสินค้าเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าปิดด่านหรือปิดเส้นทางการค้าสินค้าข้ามแดน
นายสุชาติ ตรีรัตนวัฒนา ประธานที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดตาก กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและด่านตรวจคนเข้าเมืองตาก(แม่สอด)ปิดท่าเรือขนส่งสินค้าริมแม่น้ำเมย ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่มีอยู่ 19 แห่งว่า การปิดท่าเรือในวันที่ 20 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา จะกระทบต่อการค้าชายแดนอย่างมาก เชื่อว่าตัวเลขการส่งสินค้าจะลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นนโยบายของภาครัฐ ภาคเอกชนก็ต้องปฏิบัติตาม แต่รัฐก็ต้องดูแลปัญหาความเป็นอยู่และความเดือดร้อนของประชาชนทางด้านการค้า ที่ต้องเสียหายและเสียรายได้ ที่เคยได้รับ
การปิดท่าเรือไม่ทำบัตรอนุญาตผ่านแดนทางท่าเรือของภาครัฐให้กับบุคคลข้ามแดนไทย-พม่า โดยรัฐให้เหตุผลว่าป้องกันแรงงานอพยพนั้น เป็นเหตุผลที่ยังไม่เพียงพอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะไปเพิ่มความเข้มงวดเส้นทาง คมนาคมมากกว่า เช่นเพิ่มจุดตรวจและกำลังเจ้าหน้าที่ด่านตรวจตามเส้นทางจากชายแดนสู่จังหวัดและพื้นที่ชั้นใน ไม่ใช่มาปิดช่องทางท่าเรือ ซึ่งจะเกิดผลกระทบทางการค้าและเศรษฐกิจและวิถีชีวิตชาวบ้าน 2 ฝั่งริมแม่น้ำเมย ที่ในอดีตกว่า 40-50 ปีก่อน ทำการค้าระหว่างไทย-พม่า ตามรูปแบบชาวบ้านท้องถิ่น 2 ฝั่งเมย หากปิดท่าเรือก็เท่ากับปิดกั้น วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้าน ซึ่งในเรื่องนี้ทางหอการค้าจังหวัดตาก จะดำเนินการช่วยเหลือประชาชนและพ่อค้าที่เดือดร้อนจากการปิดท่าเรือ หากได้รับการร้องขอและประสานกับภาครัฐเพื่อหาทางออกให้ชาวบ้านและพ่อค้าต่อไป
ประท้วงในพม่ากระทบค้าชายแดน
ไม่เพียงแต่การงดทำบัตรผ่านแดนผ่านท่าเรือดังกล่าวเท่านั้นที่ส่งผลกระทบการค้าชายแดน แต่ยังมีอีกปัญหา คือ การประท้วงรัฐบาลทหารพม่าของคณะสงฆ์และประชาชนชาวพม่าในกรุงย่างกุ้ง ที่เริ่มส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการค้าชายแดนด้านอำเภอแม่สอดแล้ว โดยนายจิระศักดิ์ ไพบูลย์ธรรมโรจน์ ประธานชมรมพ่อค้าชายแดนไทย-พม่า อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระสงฆ์และประชาชนหลายหมื่นคนได้เดินประท้วงรัฐบาลทหารพม่า และได้เกิดความวุ่นวายในพม่าและมีแนวโน้มเพิ่มทวีความรุนแรงขึ้นว่า เหตุการณ์ประท้วงในพม่า เริ่มส่งผลกระทบกับการค้าชายแดน พ่อค้าพม่าเริ่มลดปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจากพ่อค้าไทย ทั้งการสั่งตรงจากส่วนกลางและการสั่งซื้อจากชายแดนแม่สอด เนื่องจากพ่อค้าพม่ามองว่าสินค้าที่สั่งซื้อไปเป็นจำนวนมากจะขายไม่ได้ ประกอบกับหากเก็บสินค้าหรือสั่งซื้อจำนวนมากไปเก็บไว้ จะไม่ปลอดภัยเพราะหากเหตุการณ์ยังไม่สงบ อาจเกิดจลาจลในเมืองหลวงและเมืองสำคัญ มีการปล้นสดมภ์สินค้า ทำให้ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา ตัวเลขสินค้าไทยไปพม่าลดลงกว่า 60-65 % กระทบการค้าชายแดนอย่างรุนแรงและอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ขณะนี้พ่อค้าชายแดนและผู้ประกอบการต่อเนื่องจากการค้าชายแดนไทย-พม่า กำลังได้รับผลกระทบอย่างมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ประท้วงในพม่า และการที่ฝ่ายไทยยกเลิกการทำบัตรผ่านแดนบริเวณท่าเรือขนส่งสินค้า 19 แห่ง รวมไปถึงทหารพม่ามีการเข้มงวดสินค้าไทย มีการตั้งด่านตรวจสินค้าบริเวณเส้นทางจากชายแดน เมียวดี-กอกาเรก-ผาอัน-กรุงย่างกุ้งและเมืองหลวงเนปิตอ ทำให้สินค้าไทยมีปัญหาการขนส่งและเข้าเมือง นับเป็นผลกระทบต่อธุรกิจการค้าชายแดนทั้งสิ้น
ด้านค่าเงินจ๊าตพม่า อ่อนค่าลงอย่างมากจนแทบจะไม่มีราคา ปัจจุบันมีอัตราการแลกเปลี่ยนกับเงินบาทไทย 100 จ๊าตต่อ 2 บาทเศษเท่านั้น ตัวเลขดังกล่าวไม่มีความมั่นคงทางการค้าชายแดน ประกอบกับรัฐบาลทหารพม่าอาจจะประกาศยกเลิกเงินจ๊าตเก่า ปัญหาดังกล่าวเป็นผลกระทบที่ต่อเนื่องเป็นระบบในพม่า ทั้งน้ำมันราคาแพง สินค้าแพง และเริ่มขาดตลาด จากการที่พ่อค้าสั่งซื้อน้อยลง รวมถึงปัญหาข้างต้นที่กล่าวมา
แหล่งข่าวจากพ่อค้าชายแดนรายหนึ่ง กล่าวว่า ตนเองมองเหตุการณ์ประท้วงในพม่าของพระสงฆ์และประชาชนว่า ขณะนี้กำลังเหมือนปลาที่ถูกต้อนเข้าคอก ทหารพม่า หรือ SPDC ปล่อยให้มีการประท้วง จากนั้นเชื่อว่า จะมีการสร้างสถานการณ์ที่รุนแรงและทหาร จะประกาศภาวะฉุกเฉินปิดล้อมจับกุมผู้ชุมนุม โดยใช้กำลังและอาวุธปราบกลุ่มผู้ประท้วงทั้งหมด โดยไม่เว้นพระสงฆ์ ซึ่งอาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก
ทั้งนี้จากข้อมูลของหอการค้าจังหวัดตาก ชี้ว่าในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 เชื่อว่าตัวเลขการส่งออกสินค้าชายแดนไทย-พม่า ทางด่านศุลกากรแม่สอด จะลดลงอย่างมากประมาณ 40-50 % จากเดิมที่เคยมีตัวเลขส่งออกเดือนละประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเหลือประมาณ 500-600 ล้านบาท นับแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2550 เนื่องจากปัจจัยลบหลายประการ เช่น 1.ปัญหาการเมืองในพม่ามีการชุมนุมประท้วงและน้ำมันราคาแพง 2.พม่าเพิ่มมาตรการเข้มงวดสินค้าข้ามแดน 3.การยกเลิกทำบัตรผ่านแดนที่ท่าเรือขนส่งสินค้า 4.ค่าเงินจ๊าตตกต่ำ ทำให้หวั่นว่ายอดการค้าชายแดนปี 2550 ด้านอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก อาจจะต่ำกว่าหมื่นล้านบาท หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น
Labels: ระีนอง - เกาะสอง, เศรษฐกิจ
Photos: Monks in Street of Kawthaung on September
ရဟန္းသံဃာအပါး ၆၀ ခန့္ စက္တင္ဘာလတုန္းကေကာ့ေသာင္းျမဳိ႔ထဲကုိပရိတ္၊ေမတၱာသုတ္႐ြတ္တဲ့ပုံရိပ္မ်ားပါ။
Labels: ေဒသသတင္း
Wednesday, October 3, 2007
Thai investment in Burma affected
BURMA Ref : The Nation
Violence in Burma has affected Thai investment in the country which stretches from tourism, fishery to manufacturing sector, said Kasikorn Research Centre.
To date, accumulated Thai investment in the hotel and tourism sector in Burma total US$228.6 million. Thai manufacturing business in the country totals $614.6 million. Fishing investment value reaches $171 million while agricultural investment tops $2.7 million.
But topping this is the $6.03 billion investment in hydropower project in Salween, approved by the Burmese government in March 2006. Totally, since 1988 when the country opened its doors for foreign investment, Thailand's investment in Burma has risen to $7.38 billion. According to the centre, Thailand is ranked the largest foreign investor in Burma. Among Asean countries, aside from Thailand, Burma also welcomed huge investment from Singapore, Malaysia and Indonesia.
K Research said that if violence continues, Burma could face international economic bans particularly from the US and European Union as well as Japan.
"This could affect Thai investment projects in the country," the centre concedes.
The centre noted that if the violence does not worsen to the level that Burma closes its border, BurmeseThai border trade would remain slow only in the short term. Throughout this year, the border trade is expected to be worth Bt109 billion, or a 5 per cent annualised growth from Bt104 billion last year. This is attributable to the imports of natural gas from Burma, as well as the exports of steel, chemical products, and plastic pellets.
"However, if the situation turns more violent and the borders are shut down, the border trade in the remaining three months could drop," it said.
On the monthly basis, the border trade is valued around Bt9 billion, with Thailand's exports worth Bt1.65 billion and Burma's exports worth Bt7.5 billion.
Labels: Economy-Business-Finance, Local
Monday, October 1, 2007
ဆင္ေပါက္၏ပင္လယ္ေပ်ာ္သီခ်င္းမ်ား
ေကာ့ေသာင္းသား သူငယ္ခ်င္း ဆင္ေပါက္ ရဲ႔ Loso Copy သီခ်င္းမ်ားပါ။ Loso ဆုိတာ ထုိင္းရဲ႔လက္႐ွိနာမည္ေက်ာ္ Rock အဆုိေတာ္ တေယာက္ပါ။ ဆင္ေပါက္ရဲ႔ အသံက Alex ရဲ႔ အသံနဲ႔ဆင္ပါတယ္။ Loso ကေတာ့ကြ်န္ေတာ့္ရဲ႔ Favorite အဆိုေတာ္ ေပါ့။ ဆင္ေပါက္ရ႔ဲအသံ၊ ဆုိဟန္ကလည္း ေတာ္ေတာ္ေလးေကာင္းပါတယ္ (ကုိယ့္ျမဳိ႔သားမုိ႔ ေျပာတာ မဟုတ္ပါဘူး၊ နားေထာင္ၾကည့္ပါ၊ ၾကဳိက္မွာပါ။ ပုိင္႐ွင္ကလည္း Download လုပ္ဖုိ႔ခြင့္ျပဳပါတယ္။)
၁။ ပင္လယ္ေပ်ာ္
၂။ လူႏုံၾကီး
၃။ မုီးစက္မ်ားရဲ႔ေအာက္
၄။ အလြမ္းရိပ္မိသူ
၅။ ျပန္ဆုံခ်ိန္မွ
၆။ ကြ်န္ေတာ္နဲ႔ျမဳိ႔ငယ္ေလး
၇။ Happy Birthday
၈။ မင္းကုိယ္စား
၉။ ထားလုိက္ေတာ့
၁၀။ ေျပာင္းလဲေနေသာ
၁၁။ ေပးပစ္လုိက္မယ္
၁၂။ အေမ(ငွက္ကေလးရဲ႔အေမ)
ဒါကေတာ့ “မုိးစက္မ်ားရဲ႔ေအာက္” ဆုိတဲ့သီခ်င္းပါ။
|
အျပည့္အစုံကုိေတာ့ ဒီက ESnips Download လုပ္ပါ။ Read More......
Labels: သီခ်င္းမ်ား
ASTVထိုင္းမီဒီယာသူေဌးၾကီး၏ ၿမန္မာအျမင္
သူ႔အလိုအရ ၿမန္မာလြတ္လပ္သြားရင္ အေနာက္တိုင္းနဲ႔ ပိုရင္းႏွီးသြားမယ္လို႔ တရုတ္က ယံုႀကည္ထားတဲ႔ အခ်က္ဟာ ၿမန္မာေတြကို ကံဆိုးေစတဲ႔ အခ်က္ၿဖစ္တယ္လို႔ ဆိုပါတယ္။
တရုတ္ဟာ သူရဲ့ၿပည္တြင္းမွာ လြတ္လပ္ခြင္႔ေတာင္းလာမွာကို အရမ္းစိုးရိမ္ပါတယ္။ ၿပီးေတာ႔ ၿမန္မာနဲ႔ ထိစပ္ေနတဲ႔ တရုတ္ရဲ့ ယူနန္နယ္မွာ ေက-အမ္-တီ ဆိုတဲ႔ တရုတ္ၿဖဴအႏြယ္ေတြ လိုလားသူေတြ အမ်ားရွိႀကြင္းက်န္ေနေသးတယ္လို႔ တရုတ္က ယံုႀကည္ပါသတဲ႔။ ဒီလူေတြဟာ ၿမန္မာကတဆင္႔ အေနာက္တိုင္းနဲ႔ အဆက္သြယ္ရသြားမွာ၊ အဲဒီကတဆင္႔ တရုတ္ၿပည္အတြင္းပိုင္းကို ၀င္လာမွာ အရမ္းစိုးတယ္လို႔ သံုးသပ္ပါတယ္။ ေလာေလာဆယ္ ၿမန္မာၿပည္ အေၿခေနဟာ အင္းအားႀကီး တရုတ္-အေမရိကန္-အိႏိၵယနဲ႔ ဆူပါ ပါ၀ါၿပန္ၿဖစ္ခ်င္တဲ႔ ရုရွား တို႔ရဲ႔ ကစားကြင္း ၿဖစ္မွန္းမသိ ၿဖစ္လာေနၿပီလို႔ သံုးသပ္ပါတယ္။
ၿပီးေတာ႔ ထိုင္းေတြကလည္း သနားတယ္သနားတယ္နဲ႔ ၿမန္မာၿပည္က ရသမွ်ယူဖို႔နဲ႔ ၿမန္မာၿပည္ကို ရသမွ်ေရာင္းဖို႔သာ အဓိကထားေနတယ္၊ ၿမန္မာအေရးကို စိတ္ပါလက္ပါ ကူညီမွဳမရွိဘူး ၿမန္မာေတြ ဒီလို ၿဖစ္ေနတာကို ႀကိတ္ၿပီးေက်နပ္ေန၊ ၿမန္မာ တိုးတက္ၿပီး ဗီယက္နမ္လို ေဒသတြင္း ၿပိဳင္ဘက္တစ္ခု ထပ္တိုးလာမွာ စိုးရိမ္ေနႀကတယ္လို႔ ေ၀ဖန္ထားပါတယ္။
ဘယ္လိုဘဲ ပါးစပ္ကေၿပာေနေပမဲ႔ တကယ္ထိေရာက္တဲ႔ နည္းေတြ မသုံးနိုင္၊ မသံုးႀကေသးသမွ် ၿမန္မာေတြ ဆက္ၿပီး ဒုကၡၿဖစ္ေနဦးမွာပဲလို႔ ဆိုပါတယ္။
ၿပီးေတာ႔ ၿမန္မာစစ္အာဏာရွင္ေတြဟာ အေတာ္ကိုအတၱၱႀကီးၿပီး တံုးလြန္းပါတယ္တဲ႔၊ စီးပြားေရးကို တိုးတက္ေအာင္၊ ဖြံ႔ၿဖိဳးေအာင္လုပ္ဖို႔ အခြင္႔အေရးေတြ အမ်ားႀကီးရွိရက္နဲ႔ မလုပ္ခဲ႔ႀကပါဘူးတဲ႔၊ မိမိတို႔အတြက္သာ အသည္းအသန္ လုပ္ေနႀကသတဲ႔၊ အကယ္လို႔ လုပ္ေပးနိုင္မယ္ဆိုရင္ သူတို႔အာဏာကို အႀကာႀကီးအတိုက္အခံ နဲနဲနဲ႔ ကိုင္တြယ္ထားလို႔ရပါတယ္ လို႔ သံုးသပ္သြားပါတယ္။
[ထိုင္းမွာ As TV ဆုိတဲ့အခေငြေႀကးနဲ႔ ထုတ္လြင္႔ေနတဲ႔ ရုပ္ၿမင္သံႀကားဌာန တစ္ခုရွိပါတယ္။ နိုင္ငံေရးေ၀ဖန္မွဳေတြ လုပ္တဲ႔သတင္းဌာနပါ။ ပိုင္ရွင္က ထိုင္းမီဒီယာသူေဌးႀကီး ဆြန္ထိဆိုတဲ႔ အဂၤလန္ အက္က်ဴကိတ္ တစ္ေယာက္ပါ။ ဒီသတင္းဌာနဟာ ၀န္ႀကီးခ်ဳပ္ေဟာင္း တက္ဆင္ က်သြားရတဲ႔ အဓိက အေႀကာင္းအရင္းေတြထဲက တစ္ခုၿဖစ္ပါတယ္။]
Labels: ႏိုင္ငံေရး
What the protest really means!
Ref from ဆံုဆည္းရာ by soneseeyar
ဒီကေန႔ ျဖစ္ေပၚေနတဲ့ ျပႆနာေတြဟာ ေက်ာင္းသားနဲ႔ တပ္မေတာ္သားအၾကား သံဃာႏွင့္ တပ္မေတာ္သားအၾကား ျဖစ္ေပၚေနတာ မဟုတ္ေၾကာင္း၊ ျမန္မာျပည္လူ႔အဖြဲ႔အစည္းတရပ္လံုးနဲ႔ စစ္အာဏာရွင္ ဗိုလ္ခ်ဳပ္ၾကီးတစုတို႔အၾကား ထိပ္တိုက္ရင္ဆိုင္ ျဖစ္ေပၚေနတဲ့ တိုက္ပြဲျဖစ္ေၾကာင္း။ တပ္မေတာ္သားေတြ၊ ျပည္သူ႔ရဲေတြအေနနဲ႔ ဘယ္ဘက္ကေန ရပ္တည္မလဲဆိုတာကို အဆံုးအျဖတ္ေပးရေတာ့မယ့္ အခ်ိန္ကို ေရာက္ေနျပီျဖစ္ေၾကာင္း
Labels: ႏိုင္ငံေရး
Kawthaung Glimpse 2008
Blog Archive
-
▼
2007
(201)
-
▼
October
(31)
- รวบพม่าลอบเข้าเมืองคาห้องเย็นรถสิบล้อขนปลา 51 คน
- ระนองคุมเข้มน้ำมันเถื่อนหลังราคาในประเทศพุ่งสูง
- ေကာ့ေသာင္းမွ အျဖဴအစိမ္းဝတ္ နအဖေထာက္ခံပြဲတက္သူ ေက်ာ...
- How can spam e-mail help fight HIV?
- Rising Oil High Price partly due to Hedge Funds!
- Paw Oo Thet's Paintings
- Thai employees are likely to see an average salary...
- Instant Noodle, becoming Thai Basic Commodity?
- Hoang Thuy Linh's Sex Tape Kills Her Acting Career
- WidgetBucks - Another Ads Choice
- Tips to (Automatically)Keep Your (older) Blog Posts
- ตชด.ระนองจับสาวพม่าลอบเดินทางไปทำงานที่สุราษฎร์
- ตะลึง! ภาพถ่ายม้าทรงที่ภูเก็ตหัวขาด
- Global hike likely to lift retail price of diesel
- ေကာ့ေသာင္းမွသံဃာမ်ား ရေနာင္းသုိ႕ ခရီးသြားခြင့္မျပဳ
- Foreign direct investment in Asia continues to rise
- Myeik - Islands Town
- Windows XP Genuine Problem
- Male's Special Chair
- ราคาน้ำมัน
- ေကာ့ေသာင္း ကမၻာလွည့္ ခရီးသည္ ဝင္ေပါက္တြင္ Royalty ...
- การชุมนุมประท้วงต่อต้าน รัฐบาลพม่าที่ขึ้นราคาเชื้อ...
- จีน&อินเดีย The Power of the World
- น้ำป่าไหลทะลักท่วมเขตเทศบาลระนอง
- พม่าประท้วงทำการค้าชายแดน จ.ระนอง ตกกว่า 2 ล้านบาท
- ค้าชายแดนแม่สอดอ่วม สารพัดปัญหารุมเร้า หวั่นสิ้นปี...
- Photos: Monks in Street of Kawthaung on September
- Thai investment in Burma affected
- ဆင္ေပါက္၏ပင္လယ္ေပ်ာ္သီခ်င္းမ်ား
- ASTVထိုင္းမီဒီယာသူေဌးၾကီး၏ ၿမန္မာအျမင္
- What the protest really means!
-
▼
October
(31)
Visitors
Visitor Link
Misc Synopsis
- ကံေကာင္းေသာ လူငယ္မ်ားသည္ သူ႔ဘဝတြင္ "ဘယ္စာကိုဖတ္၊ ဘယ္စာကို မဖတ္နဲ႔" ဟူေသာ အၾကံေပးခ်က္မ်ိဳး ရ႐ွိခဲ့၏။ ကံဆိုးေသာ လူငယ္မ်ားသည္ ဘာအၾကံေပးခ်က္မွ မရွိပါ။ ထိုအမ်ိဳးအစားထဲမွ စိတ္ဓာတ္အင္အား ျပည့္စံုေသာ လူငယ္မ်ား၊ ႀကိဳးစားလိုေသာ လူငယ္မ်ား၊ ႐ွာေဖြစူးစမ္းလိုေသာ လူငယ္မ်ားသည္ မည္သူ႔အကူအညီမွ် မပါဝင္ဘဲ မိမိတို႔ဘာသာ သင့္ေတာ္ရာရာကို ေ႐ြးခ်ယ္ သြားတတ္ၾကသည္။ တခ်ိဳ႔ကေတာ့ သူတို႔ ဘာကိုလိုခ်င္မွန္း သူတို႔ကိုယ္တိုင္ မသိသူမ်ား ျဖစ္ၾကပါသည္။ ေလာကတြင္ မိမိဘာ လိုခ်င္သည္ဟု မွန္ကန္စြာသိ၍ မိမိ လိုခ်င္ေသာ အရာကို ရေအာင္ယူႏိုင္ေသာ လူငယ္မ်ားလည္း ႐ွိၾကသည္။ လူတေယာက္ မိမိဘဝတြင္ ဘာလိုခ်င္သည္ ဟု အတိအက် သိလာ ရန္ စာအုပ္မ်ားစြာက တြန္းအားေပးႏိုင္သည္ဟု ကြၽန္မ ထင္ပါသည္။ ဂ်ဴး
- ဂန္ဘာရီနဲ ့နအဖ တို ့ရဲ ့ကေလးကလား လုပ္ရပ္မ်ား - နဖအ က ေဒၚစုကို ေနအိမ္မွာအက်ယ္ခ်ဳပ္ခ်ထားတာ တကမၻာလံုးသိပါတယ္။ ဘယ္လိုေနအိမ္မွာအက်ယ္ခ်ဳပ္ခ်ထားလဲဆိုရင္ အိမ္ေရွ ့တခါးကိုေသာ့နဲ ့ခတ္ထားတယ္။ ေဒၚစုျခံ၀န္းထဲမွာ စစ္တပ္ခ်ထားတယ္။ ေဒၚစုကို ေတြ ့ခ်င္တယ္တဲ့သူေတြက သူတို ့က ၀င္ေစဆိုတဲ့အမိန္ ့ရမွာ၀င္လို ့ရတယ္။ ေဒၚစု ရဲ က်မာေရးကို တာ၀န္ခံထားတဲ့ေဒါက္တာတင္မ်ိဳး၀င္းေတာင္ ၀င္ေတြ ့ျခင္တိုင္း၀င္ေတြ ့လို ့မရဘူး။ သန္းေရြ ရဲ ့ခြင့္ျပဳခ်က္ရမွေဒၚစုကိုေတြ ့ခြင့္ရတယ္။ ေဒၚစုေရွ ေနက ေဒၚစုကို ေတြ ့ျခင္တိုင္းေတြ ့လို ့မရဘူး။ အန္အဲလ္ဒီစီအီစီ ဆိုရင္လည္း ေဒၚစုကို အိမ္မွာေတာင္ေတြ ့ခြင့္မရၾကဘူး။ ဒီလို အေျခအေနမ်ိဳးမွာ ဂန္ဘာရီ ကိုယ္စားလွယ္နဲ ့ နအဖ ကိုယ္စားလွယ္က ေဒၚစုအိမ္ေရွ ့ကိုသြားျပီး ေဒၚေအာင္ဆန္းစုၾကည္ ဂန္ ဘာရီက ေတြ ့ျခင္လို ့ပါလို ့ အိမ္ေရွ ့ကေန ေလာစပီကာနဲ ့သြားေအာ္ေနတာ အေတာ့ကို ကေလးကလားဆန္ျပီ အရူးထတဲ့လုပ္ရပ္ျဖစ္ပါတယ္။ က်ေနာ္ေမးျခင္တာက သူတို ့မွာ ေဒၚစုအိမ္ကိုခတ္ထားတဲ့ေသာ့ရိွရဲ ့သားနဲ ့ဖြင့္ျပီး ၀င္သြားလိုက္ၾကပါလား။ အိမ္ကိုေသာ့ခတ္ထားတဲ့သူက တခါးဖြင့္ေပးပါလို ့ေအာ္ေနတာကေတာ့ အေတာကိုညဏ္နည္းလွၾကပါတယ္။ Ko Moe Thee Blog
- အဲဒီသ၀ဏ္လႊာနဲ႔ ပတ္သက္ၿပီး မေလးရွား၀န္ႀကီးခ်ဳပ္ ဘာဒါ၀ီက ျမန္မာႏိုင္ငံအေနနဲ႔ အာဆီယံရဲ႕ ျပည္တြင္း ေရး မစြက္ဖက္ေရးမူကို အကာအကြယ္မယူသင့္ဘူးလို႔ မိန္႔ခြန္းမွာ ထည့္သြင္းေျပာၾကားသြားပါတယ္။ ဒါ့အျပင္ အာဆီယံရဲ႕ အဓိကအဖြဲ႔၀င္ႏိုင္ငံျဖစ္တဲ့ မေလးရွားႏိုင္ငံက အဖြဲ႔ႀကီးရဲ႕ အဓိကမူတရပ္ျဖစ္တဲ့ ျပည္တြင္းေရး မစြက္ဖက္ေရးမူကို ျပန္လည္အနက္အဓိပၸၸၸၸၸါယ္ ဖြင့္ဆိုသင့္ၿပီလို႔ ေျပာၾကားခဲ့ပါတယ္။ / Dr.LwanSwe
- ရွစ္ေလးလံုး အေရးအခင္းနဲ႔အတူ နာဂစ္မုန္တိုင္းအေပၚ စစ္အစိုးရ တံု႔ျပန္မႈဟာ ျမန္မာႏိုင္ငံတြင္း မွာရွိတဲ့ အႀကီးမားဆံုး လူ႔အခြင့္အေရး ခ်ိဳးေဖာက္မႈေတြရဲ႕ “နိဂံုး” ျဖစ္မယ္လုိ႔ လူအမ်ားစုက ေမွ်ာ္ လင့္ထားၾကတယ္။ ဒါေပမယ့္ နိဂံုးျဖစ္ျဖစ္၊ မျဖစ္ျဖစ္ ဒီတႀကိမ္ေတာ့ ျမန္မာ့အေရးဟာ ျမန္မာ ႏိုင္ငံသားေတြ (“၈၈မ်ိဳးဆက္” ေက်ာင္းသားေတြဟာ ရဲ၀ံ့စြာနဲ႔ ေရွ႕ကေန ဦးေဆာင္ေနတယ္) တင္ မကေတာ့ဘူး ကုလသမဂၢ လံုျခံဳေရးေကာင္စီနဲ႔ ျမန္မာႏိုင္ငံရဲ႕ အာရွအိမ္နီးခ်င္းႏိုင္ငံေတြရဲ႕ ႏိုင္ငံေရး ဆႏၵေပၚမွာလည္း မူတည္ေနပါတယ္။ အႏွစ္ (၂၀) ဆိုတာ ရွည္လ်ားတဲ့ အခ်ိန္ကာလ ျဖစ္ေပမယ့္ သိပ္ေတာ့ ေနာက္မက်ေသးပါဘူး။ / New Era Journal
- Failed States Index 2008 - အားလံုးေပါင္း ၁၂ ခုရွိတဲ့ စံညႊန္းေတြထဲမွာ ျမန္မာႏိုင္ငံဟာ လူ႔အခြင့္အေရးစံညႊန္းမွာ အဖိႏွိပ္ခံရဆံုး တဖက္စြန္းမွာေရာက္ေနၿပီး ျပည္ပစြက္ဖက္မႈမွာေတာ့ အေစာကေရးသလို အနည္းဆံုးပါ၊ ဒီႏွစ္ခုက အမ်ားဆံုး နဲ႔ အနည္းဆံုး အစြန္းႏွစ္ဖက္ ေရာက္ေနတာကလြဲလို႔ က်န္တာေတြက ထိပ္ဆံုးမေရာက္တေရာက္မွာ။ ၂၀၀၅ တုန္းက ထိပ္ဆံုး ၂၀ ထဲမွာ ျမန္မာမပါဘူး၊ ၂၀၀၆ က်ေတာ့ နံပါတ္ ၁၈ နဲ႔ အေရွ႔တက္လာတယ္၊ ၂၀၀၇ မွာ အဆင့္ ၁၄၊ ေဟာ၊ အခု ၂၀၀၈ မွာ အဆင့္ ၁၂ ျဖစ္သြားၿပီ။ ဒီလို တႏိုင္ငံလံုးခ်ီၿပီး ညံ့ဖ်င္းေနတာ ဦးေဆာင္လမ္းျပေနတဲ့ေခါင္းေဆာင္ တာဝန္မကင္းဘူး၊ ဒါေၾကာင့္ ႏိုင္ငံေတြစာရင္းအျပင္ ေခါင္းေဆာင္ေတြရဲ့ စာရင္းကိုလည္း ျပဳစုထုတ္ျပန္ထားတယ္။ Degolar