Ref : โลกในมุมมองของ Value Investor www.thaivi.com by ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 19 สิงหาคม 2550
เวลามองหรือคิดเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ผมชอบเริ่มจาก “ภาพใหญ่ ” หรือภาพรวมทั้งหมดของสิ่งนั้นก่อน ถ้าดูแล้วน่าสนใจ ผมถึงจะมองต่อไปถึงรายละเอียดหรือ “ภาพเล็ก” ที่อยู่ในภาพใหญ่นั้น เช่นเดียวกัน การคิดที่จะหาหรือกำหนดแนวทางในเรื่องต่าง ๆ ผมก็จะเริ่มจากยุทธศาสตร์ใหญ่ก่อน ส่วนกลยุทธ์ย่อย ๆ นั้นจะตามมาภายหลัง เหตุผลของผมก็คือ ผมเชื่อว่าถ้า “ภาพใหญ่” ถูกมองหรือกำหนดถูกต้องแล้ว “ภาพเล็ก” หรือกลยุทธ์ย่อยอาจจะผิดพลาดบ้าง ผมก็ยังจะได้รับผลดีอยู่แม้จะน้อยไปบ้าง ตรงกันข้าม ถ้า “ภาพใหญ่”
ผิดเสียแล้ว ถึงเราจะดูหรือทำ “ภาพเล็ก” ถูกต้องสมบูรณ์แบบ ผลลัพธ์ก็จะยังไม่ดีพออยู่ดี บางที การมองที่ “ภาพใหญ่” นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่อาจจะยากกว่าก็คือ อะไรคือ “ภาพใหญ่”
อย่างเรื่องปัจจัยของความสำเร็จในอนาคตของคนหนุ่มสาวอายุ 25-30 ปีที่ยังไม่ได้แต่งงานนั้น คุณคิดว่าภาพใหญ่คืออะไร? คนทั่วไปอาจจะคิดว่า การทุ่มเททำงานหนักเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตการงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้น เขาจึงทุ่มเทให้กับการทำงานมากมายจนลืมไปว่า แท้ที่จริงภาพที่ใหญ่กว่า โดยเฉพาะของผู้หญิง ก็คือ การมีชีวิตคู่หรือครอบครัวที่ดี ดังนั้น ถ้าเราเชื่อว่าชีวิตคู่เป็นตัวกำหนดความสำเร็จหรือความสุขในอนาคตมากกว่าเรื่องงาน เราก็ต้องทุ่มเทให้ความสำคัญกับการหาคู่เท่า ๆ กับหรือมากกว่าการทำงานเป็นบ้าเป็นหลังจนลืมไปว่า มันอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตและมีความสุขมากกว่าถ้าเราได้คู่ที่เหมาะสม บางที การได้แต่งงานกับคนที่ถูกต้องเพียงครั้งเดียวอาจจะทำให้คน ๆ หนึ่งสบายไปทั้งชาติได้
แม้ว่าเขาหรือเธอจะทำเรื่องอื่น ๆ ไม่ค่อยได้เข้าท่าเลย เหตุผลก็เพราะว่า เรื่องอื่น ๆ นั้นเป็น “ภาพเล็ก” แต่การแต่งงานนั้น เป็น “ภาพใหญ่”
ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่าเรามีประเด็นของ “ภาพใหญ่” มากมายหลายเรื่อง และถ้าเรากำหนดได้ว่าอะไรเป็นภาพใหญ่ได้ชัดเจนและถูกต้อง โอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุน
ก็จะมีสูง เพราะการปฏิบัติของเราจะอยู่ในกรอบที่ถูกต้อง ลองมาดูว่าภาพใหญ่บางส่วนที่ผมคิดมีอะไรบ้าง
เรื่องแรกก็คือ เราต้องคิดว่าภาพใหญ่ในการลงทุนของเราคืออะไร? สำหรับผมแล้ว การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น มันคือการเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือเจ้าของธุรกิจ ผมไม่เคยมีเป้าหมายว่าซื้อหุ้นแล้วจะขายเมื่อไรหรือจะกำไรกี่เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาสั้น ๆ การคิดว่าเรากำลังเป็นเจ้าของหรือทำธุรกิจในหุ้นที่เราซื้อลงทุนนั้น ช่วยให้ผมคิดถึงสินค้าที่บริษัทผมจะขาย
ยอดขาย กำไร และปันผลที่ผมจะได้รับ ความเข้มแข็งของบริษัทและการเจริญเติบโตของธุรกิจ ผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ ฯ ล ฯ ผมคิดว่าเหล่านี้คือภาพใหญ่ ในขณะที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์และการที่บริษัทจะมีข่าวดีหรือกำไรจะเพิ่มขึ้นในไตรมาศหรือปีหน้าเท่าไร เหล่านี้เป็น “ภาพเล็ก” ที่เราไม่ควรเริ่มต้นมองและหมกมุ่นกับมันมากเกินไปก่อนที่จะดูที่ “ภาพใหญ่” ว่า นี่คือธุรกิจที่เราต้องการเป็นเจ้าของหรือไม่?
“ภาพใหญ่” เรื่องที่สองก็คือ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการลงทุนของเราคืออะไร? ในความคิดผมก็คือ การลงทุนของเราน่าจะเพื่อให้เม็ดเงินของเราเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงโดยที่ความเสี่ยงในการที่เงินต้นจะลดลงมีน้อยมาก เป้าหมายหลักก็คือการสร้างความมั่นคงและอิสรภาพทางการเงินในระยะยาวของเรา เพราะด้วยวัตถุประสงค์หลักแบบนี้ จะทำให้เราเพิ่มพอร์ตโฟลิโอของหุ้นตลอดเวลาในขณะที่จะมีการกระจายการถือครองหุ้นอย่างเหมาะสม
เพื่อป้องกันความเสี่ยง เช่นเดียวกับการเลือกถือหุ้นที่มีความเสี่ยงในการลดค่าลงต่ำ ตรงกันข้ามถ้าเราไม่มี “ภาพใหญ่” ของวัตถุประสงค์ของการลงทุน เราก็อาจจะเข้ามาซื้อขายหุ้นลงทุนเป็นครั้งคราวและพยายามทำกำไรเป็น “ค่าขนม” หรือเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในลักษณะของการเก็งกำไรเป็นช่วง ๆ ซึ่งลักษณะนี้เป็นเรื่องของการมอง “ภาพเล็ก” ของภาวะตลาดหุ้นและการซื้อขายในช่วงสั้น ๆ ซึ่งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จจะมีน้อย
ภาพใหญ่เรื่องที่สามก็คือเรื่องของความเชื่อและการปฏิบัติตามที่ควรจะเป็น ตัวอย่างของความเชื่อมีมากมาย เช่น ภาพใหญ่ของผมก็คือ ผมไม่เชื่อการคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้น ดังนั้น ผมไม่ศึกษาวิธีการที่จะหาจังหวะเข้าออกจากตลาดเพราะนี่คือ “ภาพเล็ก” หรือความเชื่อที่ว่าการลงทุนในตลาดหุ้น ผลตอบแทนในระยะยาวสำหรับพอร์ตที่มีขนาดใหญ่พอสมควรจะไม่สามารถทำได้เกินปีละ 20-25% โดยเฉลี่ย นี่ก็คือภาพใหญ่สำหรับผม ดังนั้น ถ้าผมลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนปีละ 15-20% ผมจะรู้สึกว่าประสบความสำเร็จ
สูงมาก ว่าที่จริง 10-15% ต่อปีผมก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนแล้ว ผมจะไม่พยายามฝืน “ภาพใหญ่” โดยการพยายามหาหุ้น ที่อาจจะกระโดดทีเดียวหลายเท่าแต่มีความเสี่ยงสูงเพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนสูงกว่าที่ผมจะทำไหว
ภาพใหญ่เรื่องสุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือ เรื่องของสไตล์ในการลงทุน ผมคิดว่า ตัวเราเองก็ควรจะมี “ภาพใหญ่” นั่นหมายความว่า เมื่อมองตัวเราเองจากภายนอก ควรจะรู้หรือบอกได้ว่าเราเป็นนักลงทุนแบบไหน พูดอย่างหยาบ ๆ ก็คือ เรามีสไตล์การลงทุนแบบไหน ชอบลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อคหรือแบบก้นบุหรี่ที่ชอบหุ้นที่มีราคาถูกมาก หรือเราชอบหุ้นประเภทวัฎจักรหรือหุ้นที่กำลังฟื้นตัว นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องของสไตล์การกระจาย
การถือครองหุ้นและอื่น ๆ อีกร้อยแปด ประเด็นก็คือ ถ้าเรามีสไตล์ชัดเจน การลงทุนของเรา
ก็มักจะสามารถคาดการณ์ได้ ตัวอย่างเช่น ผมเองนั้น จะไม่สนใจหุ้นหลาย ๆ บริษัทที่มีผลการดำเนินงานไม่แน่นอนในอดีตที่ผ่านมา 4-5 ปี แม้ว่าในช่วงปัจจุบันบริษัทจะมีกำไรดีและดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนในช่วงปีหรือสองปีข้างหน้า
และหุ้นวิ่งขึ้นมาอย่างโดดเด่นมากและ “น่าจะ” โดดเด่นต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อยเป็นปี สาเหตุก็เพราะมันไม่ใช่สไตล์ของผม มันเป็น “ภาพเล็ก” ที่แม้ว่าผมอาจจะทำกำไรได้
แต่มันก็จะไม่เปลี่ยน “ภาพใหญ่ ” ในเรื่องการลงทุนและผลตอบแทนของพอร์ตของผม
GoogleCyberSearch
Shared Items
Labels
- ႐ႊင္ျမဴးစရာ (3)
- Agri and Fishery (11)
- Art and Literature (2)
- Dhamma - Beliefs (7)
- Earth-Weather-Travel (8)
- Economy-Business-Finance (22)
- Energy (4)
- Fun/Humor (10)
- General (1)
- Health (3)
- History - Politics (11)
- Ideas - Opinions (6)
- IT (22)
- Life Style (7)
- Local (21)
- Society - Community (1)
- Technology (14)
- Travel (4)
- การเกษตร (2)
- ขำขัน (8)
- ท่องเทียว (4)
- เทคโนโลยี (11)
- เทคโนโลยี-วิทยาศาสตร์ (3)
- ธุรกิจ (4)
- บ้า้นและครอบครัว (1)
- ประวัติศาสตร์ (2)
- ปรัชญา - ธรรมะ (10)
- พม่า (11)
- พลังงาน (5)
- ระีนอง - เกาะสอง (25)
- เศรษฐกิจ (10)
- สังคม (9)
- สัตว์น้ำและอาหารทะเล (10)
- สุขภาพ - อาหาร (12)
- ကမၻာေျမ (2)
- က်န္းမာေရး (8)
- ခရီးသြားျခင္း (5)
- စားဝတ္ေနေရး (8)
- စာေပ၊ ယဥ္ေက်းမႈ (5)
- စီးပြား၊ကုန္သြယ္ (32)
- စုိက္ပ်ဳိးေရး (6)
- ဓမၼ - ဂမၺီရ (5)
- မိုးေလဝသ (1)
- ျပည္ျမန္မာ (13)
- လူမႈဘဝ (8)
- သိပၸံႏွင္႔နည္းပညာ (16)
- သီခ်င္းမ်ား (2)
- အေတြးအျမင္ (6)
- အေထြေထြ (8)
- ေဒသသတင္း (24)
- ေရလုပ္ငန္း (14)
- ႏိုင္ငံေရး (11)
Vistors Stats
Monday, August 20, 2007
ภาพใหญ่-ภาพเล็ก : ในเรื่องของการลงทุน
Friday, August 17, 2007
การโทรคมนาคมไทยยังไม่เสรี (ได้ง่ายๆ)
Ref : Manager Online
ปัจจุบันธุรกิจบริการโทรคมนาคมของประเทศไทย ยังคงอยู่ในช่วงการเดินทางเปลี่ยนจากตลาดแบบผูกขาด (Monopoly) มาสู่ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ในอุดมคติ (Perfect Competition) หรืออย่างน้อยก็เรียกว่า Try to fair competition ที่เรียกติดปากกันทั่วไปว่าการค้าเสรี แม้ปัจจุบันจะมีกฏหมายยกเลิกการผูกขาดในกิจการโทรคมนาคม มีการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมโดยองค์กรอิสระปราศจากการแทรกแซงของรัฐที่มาจากภาคประชาชน จากรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน มีการเปิดให้เสรีในทุกบริการแม้แต่ อินเทอร์เน็ตเกตเวย์ ซึ่งไม่เคยมีใครนึกมาก่อนว่าจะสามารถยกเลิกการผูกขาดได้ มีการเปิดให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถมีโอกาสเข้าแข่งขันได้ มีผู้ประกอบการมากขึ้นเกิดการแข่งขันพัฒนาคุณภาพบริการ และราคาถูกที่สุด ผลประโยชน์ก็เกิดกับประชาชน ตามกลไกตลาดแข่งขันสมบูรณ์
Read more at : http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9500000095708
Labels: เทคโนโลยี
Megaupload Bypass - Megaupload SX adds-in
As a user of megaupload downloader, and do not want to install their toolbar, I had been using "User Agent Switcher" with fire-for adds-in. But later I found that my user agent switcher can not by-pass the "country bandwidth restriction".
Here I find out another add-on for fireforx: "Megaupload SX" and you can download from here :
https://addons.mozilla.org/en-US/firefox/addon/3843
After you have installed adds-in, just go to Tools-Megaupload 3 - and "Enable" it. Then you can start download.
Enjoy!
Labels: IT
โทรศัพท์ตรวจน้ำตาลในเลือด
GlucoPhone เป็นโทรศัพท์เพื่อสุขภาพโดยแท้ เนื่องจากสามารถส่งข้อมูลปริมาณกลูโคสในเลือดผ่านอินเทอร์เน็ตไ ด้ เพราะมีเครื่องมือวัดกลูโคสชนิดพิเศษที่มีชื่อว่า GlucoPack ที่สามารถใส่เข้าไปทางด้านหลังของโทรศัพท์ โดยให้คุณเสียบแผ่นทดสอบไปในช่องเสียบทางด้านข้างของเครื่อง จากนั้นให้เจาะเลือดเข้าหยดเลือดลงบนแผ่น หล้งจากนั้นให้ส่งข้อความผลลัพธ์ที่ได้ไปไว้ในฐานข้อมูลออนไลน์
ตอนนี้ GlucoPhone ทำงานร่วมกับโทรศัพท์ LG5200
Labels: เทคโนโลยี
Thursday, August 16, 2007
Top five reasons to buy Thai stocks
By BRIAN HOEGEE - Bangkok Post
These are just five of many reasons why Thailand is an attractive market at current levels. On the flip side, if global institutional exposure to sub-prime mortgages is the main reason for recent market volatility; wouldn't it make sense to invest in countries that have sold off sharply yet have little or no exposure to sub-prime mortgages?
All you have to do is turn on the TV or read the newspaper and you will hear nothing but negative news relating to sub-prime mortgages in the States, central banks intervening and volatility that has been unmatched in recent years. No stock, currency, debt or commodity market has been spared the mayhem; some have thrown in the towel, others have chosen to stay on the sidelines due to the tremendous volatility even if there is money to be made.
The Dow Jones hit a high on July 17 while the SET Index hit a cyclical high only nine days later. From mid-July to the recent August lows, the SET Index corrected by more than 11% and the Dow is off more than 6%. Investor psychology has gone from euphoria and greed to panic and fear thinking that the worst is yet to come. Volatility will most likely continue and in times of doubt, disbelief and exhaustion, such as now, investors should look to move back into the Thai market. Here are five reasons why:
F1. Political Situation: Using logical reasoning, one can come to the conclusion that the constitutional referendum this Sunday should pass and elections should go smoothly before the end of the year. It is somewhat of a risk using the words "logic" and "reason" in the same sentence when mentioning Thai politics. However, the powers that be clearly realise that if the elections do not go smoothly, the economic picture will worsen to levels not seen since the Asian financial crisis. If this criterion is not met, then all bets are off.
F2. Technical Overview: It is clear that the SET Index has broken out of its long term down trend. The breakout occurred in June at the 780 level. This level will act as a huge support against any potential downside movements that may take place in the ensuing days or weeks. For those who follow Fibonacci levels, it just so happens that the 38% retracement (December low of 587 to July high of 895) lies at 778 also. Both the RSI and Stochastic are also at increasingly attractive levels.
F3. Interest Rates: Common sense leads us to believe that when interest rates are low, equities perform well and when interest rates are high, equities perform poorly. Most investors become extremely wary of equities in a rising interest-rate environment. However, rising interest rates can actually be a catalyst for rising stock prices. Interest rates are raised to prevent the economy from overheating and leading to increases in inflation.
An overheated economy is generally a good thing for most companies as earnings are robust and the consumer is spending. The Bank of Thailand may lower rates once more this year and subsequently earnings and the overall economy will rebound going into 2008. As growth kicks in, the central bank will most likely begin to raise rates sometime in 2008 to cool the economy. Contrary to popular belief, stock prices should rise in conjunction with rising rates.
F4. Inflation: One of the main reasons the central bank did not lower interest rates earlier in the year was due to rising inflation. Due to the economic and political issues over the past 12 months, inflation has stabilised and is now hovering at 1.7%. This is a comfortable level and inflation should continue to be tame over the next 12-18 months.
F5. Earnings: Earnings growth has slowed dramatically over the past 12 months due mainly to lacklustre consumer confidence and the political mess. The price/earnings ratio for the SET50 Index is currently at 12.4 and most analysts put the 2008 P/E for the SET50 at 10.5. As central bank interest rate cuts start to filter through and benefit the economy, the consumer will return and corporate earnings will begin to improve in the fourth quarter of 2007.
=================
Brian Hoegee is Managing Director, Asia, of Global Trader, a leading London-based derivatives provider registered with the Thai SEC. Contact him in Bangkok at 0-2654-1212 or visit http://www.gt247.com
Labels: Economy-Business-Finance
จุดธูปกี่ดอก บอกอะไรบ้าง?
การจุดธูปบูชา หรือ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือปฏิบัติกันมายาวนานนับพันๆ ปีแล้ว ลองดูสิว่าที่ผ่านๆ มา เราใช้ธูปสักการะกันถูกต้องตามจำนวนรึเปล่า
ธูป 1 ดอก ไหว้ศพ เจ้าที่ วิญญาณธรรมดา ที่ไม่ได้ขึ้นชั้นเทพ
ธูป 2 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่
ธูป 3 ดอก ใช้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
Ref : dharma.thaiware.com
ธูป 5 ดอก ใช้บูชาพระรัตนตรัย บูชารัชกาลที่ 5 ธาตุทั้งห้า หรือทิศทั้งห้า พระภูมิ
ธูป 7 ดอก ไหว้พระพรหม บูชาพระอาทิตย์ ถือคติคุ้มครองทั้ง 7 วันในสัปดาห์
ธูป 8 ดอก บูชาเทพเจ้าของชาวฮินดู
ธูป 9 ดอก บูชาแก้ว 9 ประการ พระพุทธคุณ ทั้งเก้า และพระเทพารักษ์
ธูป 10 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่ตามความเชื่อของชาวจีนบางกลุ่ม
ธูป 12 ดอก บูชาเจ้าแม่กวนอิม บูชาพระคุณของแม่
ธูป 16 ดอก บูชาเทพชั้นครู หรือ พิธีกลางแจ้ง ที่มีการอัญเชิญเทวดา ที่สำคัญหมายถึงสวรรค์ 16 ชั้น
ธูป 19 ดอก บูชาเทวดาทั้ง 10 ทิศ
ธูป 21 ดอก บูชาพระคุณของพ่อ
ธูป 32 ดอก ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ
ธูป 108 ดอก บูชาสิ่งสูงสุดทั่วทั้งโลกทุกชั้นฟ้า
พึงระลึกไว้เสมอว่า การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพื่อขอพรก็จะไม่เป็นผลอะไร หากคุณเองยังไม่ได้พยายามอย่างที่สุดและหาทุกหนทาง เพื่อขะช่วยเหลือตนเอง ... ..
Labels: ปรัชญา - ธรรมะ
အခြန္ေလွ်ာ့ရန္ ျမန္မာကုန္သည္မ်ားက ထိုင္းအစိုးရကို ေတာင္းဆုိ
သတင္း - မဇၩိမသတင္းဌာန - သန္းထိုက္ဦး ၾသဂုတ္လ ၁၃ ရက္၊ ၂၀၀၇ ခုႏွစ္။
ျမန္မာနယ္စပ္ၿမ့ဳိ ျမ၀တီမွ ထိုင္းနယ္စပ္ၿမ့ဳိ မဲေဆာက္သို႔ တင္ပုိ႔ေနသည့္ ကုန္ပစၥည္းမ်ားကို အခြန္ပမာဏ ေလွ်ာ့ခ်ေပးရန္ အတြက္ ျမန္မာကုန္သည္မ်ားက ထုိင္းအာဏာပိုင္မ်ားထံ ယခုလ ၁၀ ရက္ေန႔တြင္ ထုိင္းကုန္သည္မ်ားမွတဆင့္ ေတာင္းဆို လိုက္သည္။
ိုယခုလ ၁၀ ရက္ေန႔ ညေနပိုင္းက ထိုင္း-ျမန္မာ ႏွစ္ႏိုင္ငံ ကုန္သည္ ကုိယ္စားလွယ္ ၁၇ ဦးခန္႔သည္ ကရင္ျပည္နယ္ ျမ၀တီၿမ့ဳိရွိ ကုန္သည္ႀကီးမ်ား အသင္း ဥက� ဌ ေဒၚသင္းသင္းျမတ္ ပုိင္ဆုိင္သည့္ လိေမၼာ္ၿခံ တခုတြင္ အစည္းအေ၀းတရပ္ က်င္းပခဲ့ၿပီးေနာက္ ျမန္မာ ကုန္သည္မ်ားက အခြန္ႏႈန္းထား ေလွ်ာ့ေပါ့ေပးရန္ ထုိင္း အာဏာပိုင္မ်ားထံ ေတာင္းဆိုခဲ့ျခင္း ျဖစ္သည္။
“ျမန္မာဘက္က ေတာင္းဆိုထားတာက ဘာလဲဆိုေတာ့ ႀကိမ္နဲ႔ ၀ါးေတြကုိ ဘာျဖစ္လို႔ ၃၀ ရာခိုင္းႏႈန္းေတာင္ ေကာက္ခံရသလဲ။ ဒီအေၾကာင္းကုိ က်ေနာ္ မဲေဆာက္ ၿမ့ဳိေတာ္၀န္ဆီကုိ တင္ျပေပးမယ္။ အခြန္လႊတ္ေပးလုိ႔ ရႏိုင္မလားေပါ့ေနာ္။ ေနာက္ ပုဇြန္နဲ႔ ငါးကုိ အရင္က မေကာက္ဘဲနဲ႔ အခုမွ ဘာျဖစ္လို႔ ၅ ရာခိုင္ႏႈန္း ေကာက္တာလဲ။ ဘာေၾကာင့္ ပဲနီ၊ ပဲမဲ ကို တစ္ကီလို ဂရမ္ကို တဘတ္အထိ ေကာက္ရသလဲေပါ့ေနာ္” ဟု မဲေဆာက္ၿမ့ဳိ ကုန္သည္ႀကီးမ်ားအသင္း ဥက� ဌ Ampho Chatcai Yalerk က မဇၩိမကို ေျပာသည္။
အခြန္ေလွ်ာ့ပါက ျမန္မာ ကုန္ပစၥည္းမ်ား ပိုမို ၀င္ေရာက္လာမည္ ျဖစ္သလို၊ ထုိင္း စားသံုးသူမ်ားအတြက္ ပိုမို သက္သာ ေခ်ာင္ခ်ိႏိုင္ေၾကာင္းႏွင့္ ျမန္မာ ကုန္သည္မ်ား အေနျဖင့္လည္း ထုိင္းပစၥည္းမ်ားကုိ ပိုမို ၀ယ္ယူ သံုးစဲြေပးႏိုင္မည္ ျဖစ္ေၾကာင္း သူက ဆက္ေျပာသည္။
ယခုလို အခြန္ ေလွ်ာ့ေပါ့ေရးႏွင့္ ပတ္သက္သည့္ ႏွစ္ႏိုင္ငံ ကုန္သည္ႀကီးမ်ား အစည္းအေ၀း အေၾကာင္းကို သိရွိႏိုင္ရန္ အတြက္ ျမ၀တီၿမ့ဳိရွိ ကုန္သည္ႀကီးမ်ား အသင္း ဥက� ဌ ေဒၚသင္းသင္းျမတ္ကို ဆက္သြယ္ ေမးျမန္းရာတြင္ သူက “ေမးရင္ေတာ့ တရား၀င္ လာေမးရွင့္။ က်မကို ဖုန္းနဲ႔ေတာ့ မေမးပါနဲ႔ေနာ္။ ေျပာလို႔ မရပါဘူး” ဟု ျပန္လည္ ေျဖၾကားသည္။
ထုိင္း-ျမန္မာ နယ္စပ္ မဲေဆာက္ၿမ့ဳိသည္ ႏွစ္ႏုိင္ငံ နယ္စပ္ ကုန္စည္ တင္သြင္းရာတြင္ အေရာင္းအ၀ယ္ အမ်ားဆံုး ေဒသျဖစ္ၿပီး၊ ၂၀၀၆ ခုႏွစ္အတြင္း ထုိင္းမွ ျမန္မာသို႔ တင္ပို႔ေသာ ကုန္ပစၥည္းတန္ဖိုး ပမာဏသည္ ဘတ္ေငြ သန္းေပါင္း ၂၃၀၀၀ ခန္႔ရွိေသာ္လည္း ျမန္မာမွ မဲေဆာက္သို႔ တင္ပုိ႔ေသာ ကုန္ပစၥည္း တန္ဖိုးသည္ ထုိင္းပို႔ကုန္ တန္ဖိုး၏ ထက္၀က္မွ်သာ ရွိေၾကာင္း ထိုင္း ကုန္သည္ႀကီးမ်ား အသင္းက ေျပာဆိုသည္။
ျမ၀တီၿမ့ဳိမွ မဲေဆာက္ၿမ့ဳိသို႔ တင္ပို႔ေသာ ကုန္ပစၥည္းမ်ားတြင္ ပင္လယ္ အစားအစာ ပုဇြန္၊ ခရု၊ ဂဏန္း တို႔သည္ အမ်ားဆံုး ျဖစ္ၿပီး၊ မဲေဆာက္သည္ ပရိေဘာဂ ပစၥည္း၊ ပုဇြန္ေျခာက္ႏွင့္ ငါး တို႔ကို အမ်ားဆံုး တင္သြင္းေနသည့္ ထိုင္းနယ္စပ္ၿမ့ဳိ ျဖစ္သည္။
Labels: စီးပြား၊ကုန္သြယ္
ေရထြက္ျပည္ပပုိ႔ကုန္ကဏန္း
ကမၻာေပၚတြင္ ကဏန္း ရွစ္မ်ဳိးရွိၿပီး၊ အဆုိပါကဏန္းမ်ားမွာ ႐ႊံ႕ကဏန္း Mud Crab ၊ ဒီေရေတာကဏန္း Mangrave Crab၊ ကြၽန္းကဏန္း Island Crab၊ သဲကဏန္း Sand Crab၊ ေျမနီကဏန္း Red Legged Crab ၊ ကဏန္းျဖဴ White Crab၊ ကဏန္းျပာ Blue Crab၊ အုန္း ကဏန္း Coconut Crab ဟူ၍ရွိၿပီး၊ ရႊံ႕ကဏန္းႏွင့္ ဒီေရေတာကဏန္းမ်ားမွာအရြယ္ အစားႀကီး မားၿပီး ေစ်းကြက္၀င္ကဏန္းမ်ားျဖစ္ပါသည္။ အနီေရာင္ေျမနီ ကဏန္းမွာ ေသးငယ္ၿပီး အျပာ ေရာင္ကဏန္းမွာ အလယ္အလတ္ဆုိဒ္ျဖစ္ပါသည္။ ရႊံ႕ကဏန္းႏွင့္ ဒီေရေတာ ကဏန္းမ်ားကုိ အသားတုိးေမြးျမဴျခင္းမ်ားကုိ လုပ္ကုိင္ၾကပါသည္။ ပုသိမ္ၿမိဳ႕နယ္မွ စုေဆာင္း၀ယ္ယူရရွိေသာ ကဏန္းမ်ားကုိ ေဒသအေခၚ ေက်ာက္ကဏန္း၊ ၀သုံးလုံးကဏန္း၊ ဘုံလုံကဏန္း (ေဖါင္စီး ကဏန္း)၊ ျမစ္ကဏန္း၊ သဲကဏန္း၊ ရႊံ႕ကဏန္း ေခၚဆုိေလ့ရွိၾကပါသည္။ ေက်ာက္ကဏန္း အမ်ဳိးမွာ ပင္လယ္ေရနက္ရွိ ေက်ာက္ႀကိဳ ေက်ာက္ၾကားတြင္ ေနထုိင္ေလ့ရွိၿပီး၊ ရွားပါးေသာ ကဏန္းမ်ဳိးျဖစ္ပါသည္။ ဘုံလုံကဏန္းမွာ လယ္ကြင္းမ်ား တြင္ရွာေဖြရရွိၿပီး၊ သဲကဏန္းမ်ဳိးမွာ ေရငံေဒသမွာသာ ရွာေဖြရရွိပါသည္။ ျမစ္ ကဏန္း မ်ားကုိ ေရခ်ဳိေရငံစပ္ေဒသ ေခ်ာင္းသာ၊ ေငြေဆာင္ေဒသမ်ားႏွင့္ ရႊံ႕ကဏန္းမ်ဳိးမ်ားကုိ ေရခ်ဳိေရငံစပ္၊ ဒီေရေရာက္ေတာေဒသမ်ား ျဖစ္ေသာ ငပုေတာၿမိဳ႕နယ္ ျပင္ခ႐ုိင္၊ ေခ်ာင္း၀၊ ဂ်မ္းကပ္၊ ဟုိင္းႀကီးကြၽန္းေဒသမ်ားမွာ ရွာေဖြရ ရွိေၾကာင္း သိရပါသည္။ ေရခ်ဳိေရငံစပ္ေဒသရွိ ကဏန္းအေရာင္မွာ အစိမ္းပုတ္ေရာင္ႏွင့္ အစိမ္းျဖစ္ၿပီး၊ ေခ်ာင္းသာ၊ ေငြေဆာင္၊ မက်ီး၊ ၀က္ေသ၊ သဇင္၊ ဆင္မကမ္းေျခေဒသရွိ ကဏန္းအေရာင္မွာ မက်ီးေစ့ ေရာင္ျဖစ္ပါသည္။ ပုသိမ္ၿမိဳ႕တြင္ အေရာင္းအ၀ယ္အမ်ားဆုံး ကဏန္းမွာ ရႊံြံ႕ကဏန္းအမ်ဳိးအစားျဖစ္ၿပီး၊ ရႊံ႕ကဏန္း မွာ Seylla Serrata သိပၸံအမည္ရေသာ Serrated Mud Crab ျဖစ္ပါသည္။ Carapace လုိ႔ေခၚေသာ အေပၚခံြအမာႀကီး၏ ထိပ္ေဘး တစ္ခ်က္မွ ေခြးသြားစိတ္ပုံဆူးခြၽန္ ကေလးမ်ားမွာ Mud Crab ရႊံ႕ကဏန္းကုိ သိသာထင္ရွား ေစေသာ အမွတ္အသားေလးမ်ား ျဖစ္ပါသည္။ Mud Ceab ေတြသည္ ေရခ်ဳိေရငံစပ္ ဒီေရ ေရာက္ေသာေဒသမ်ားတြင္ တြင္းႏွင့္ေနထုိင္ေလ့ရွိၿပီး၊ ျမန္မာႏိုင္ငံကမ္း႐ုိးတန္းတစ္ေလ်ာက္ ဒီေရေရာက္ေသာ ဧရိယာမွာ ဧကတစ္သန္းခန္႔ရွိသျဖင့္ ေရထြက္ပစၥည္း သယံဇာတတစ္မ်ဳိး ျဖစ္ေသာ Mud Ceabရႊံ႕ကဏန္းမ်ားကုိ ေပါမ်ားစြာရွာေဖြရရွိျခင္းျဖစ္ပါသည္။ Mud Ceab မ်ား သည္ ဒီေရတက္ခ်ိန္မွာ တြင္းကထြက္ၿပီး အစာ ရွာေဖြေလ့ရွိၾကရာ အဆုိပါအခ်ိန္မွာ ကဏန္းရွာေဖြသူမ်ားကၿမံဳး Trap ကုိအသုံးျပဳၿပီး၊ ကဏန္းမ်ားကုိ စုေဆာင္းၾကပါသည္။ ေရျပန္က်သြားခ်ိန္တြင္ လမုေတာ၊ လဟာျပင္မ်ားမွာရွိေသာ ကဏန္းတြင္းေတြထဲမွာ ခ်ိတ္ (ဂ်ိတ္) ႏွင့္ခ်ိတ္ၿပီးစုေဆာင္း ရယူၾကပါသည္။ ကဏန္းမ်ားကုိ သက္ရွိအတုိင္းသာ အေရာင္း အ၀ယ္ျပဳလုပ္ ေလ့ရွိသျဖင့္ ခ်ိတ္ကဏန္းဆုိလွ်င္ အနာတရရွိၿပီး အေသ ျမန္တတ္သျဖင့္ ကဏန္းအ၀ယ္ဒုိင္မ်ားမွ ေရွာင္ေလ့ရွိၾက ပါသည္။
Ref : Ministry of Commerce, MM by ထြန္းထြန္းသိန္း
ဧရာ၀တီတုိင္း၏ ေရထြက္ပစၥည္းထုတ္လုပ္မႈမွာ ေရခ်ဳိေရငံငါးပုဇြန္ထုတ္လုပ္မႈမ်ား အျပင္ သဘာ၀ေရအရင္းအျမစ္မ်ားထဲမွ ႏုိင္ငံျခား၀င္ေငြရွာေဖြေပးေနသည့္ ကဏန္းတင္ ပုိ႔မႈ သည္ အဓိကအခန္းက႑မွ ပါ၀င္ေနေပသည္။ ျမန္မာႏိုင္ငံ၏ ျပည္ပပုိ႔ကုန္တင္ပုိ႔မႈတြင္ ေမြးျမဴ ေရးႏွင့္ ေရလုပ္ငန္းက႑မွ ၂၀၀၇-၂၀၀၈ ခုႏွစ္တြင္ ပုိ႔ကုန္တန္ဘုိး ေဒၚလာသန္း ၇၅၀ ရရွိရန္ ရည္မွန္းထားရာ ကဏန္းလုပ္ငန္းရွင္မ်ားအသင္းမွလည္း ရည္မွန္းပုိ႔ကုန္ပမာဏေဒၚလာ ၂၅ သန္းျပည့္မီေစေရးအတြက္ ႀကိဳးပမ္းေဆာင္ရြက္လ်က္ရွိပါသည္။
ဧရာ၀တီတုိင္းျမစ္၀ကြၽန္းေပၚကမ္းရုိးတန္္းတေလ်ာက္ ဒီေရေရာက္ေဒသမ်ားျဖစ္ေသာ ပုသိမ္၊ ငပုေတာ၊ ဘုိကေလး၊ ဖ်ာပုံ၊ လပြတၱာ၊ ေျမာင္းျမ၊ ေမာ္လၿမိဳင္ကြၽန္း၊ ေဒးဒရဲ၊ က်ိဳက္ လတ္ေဒသမ်ားတြင္ ကဏန္းမ်ားကုိရွာေဖြ ေတြ႔ရွိႏုိင္ပါသည္။ ျမန္မာႏိုင္ငံတြင္ ဧရာ၀တီတုိင္း၊ ရန္ကုန္တုိင္း၊ တနသၤာရီတုိင္း၊ မြန္ျပည္နယ္၊ ရခုိင္ျပည္နယ္ တုိ႔တြင္လည္းရွာေဖြ ေတြ႔ရွိႏုိင္ ေၾကာင္း သိရွိရပါသည္။
ကဏန္းမ်ားအား နည္းေပါင္းစုံျဖင့္ ဖမ္းဆီးျခင္း၊ ပင္လယ္ျပင္မွ အရြယ္တူမ်ဳိးမမွန္ သည့္ဖမ္းဆီးရရွိသည့္ ကဏန္းေပါက္ကေလးမ်ားအား ယခင္က၀ါးျဖင့္ ယက္လုပ္ထားေသာ ဗူးအိတ္ကေလးမ်ားျဖင့္ ကန္႔၍ေမြးျခင္း၊ အသားတုိးေမြးျခင္း မ်ားသာရွိခဲ့ပါသည္။ ကဏန္းမ်ား သားေပါက္ေမြးျမဴျခင္းအား ဧရာ၀တီတုိင္းတြင္ စမ္းသပ္ ေမြးျမဴခဲ့ရာေအာင္ျမင္မႈ မ်ား ရရွိလာၿပီးျဖစ္၍ ေရထဲမွ သယံဇာတမ်ား မ်ဳိးျပဳန္းတီးမႈမွကာကြယ္ေပးႏိုင္သည့္ အျပင္ စနစ္ တက်သားေဖါက္ေမြးျမဴျပဳစုထားေသာ ေစ်းကြက္၀င္ ကဏန္းအရြယ္အစားကုိ ေရြးခ်ယ္၍ ျပည္ပေစ်းကြက္သုိ႔တင္ပုိ႔ေရာင္းခ်ႏိုင္မည္ျဖစ္ပါသည္။ ပင္လယ္ျပင္တြင္ ကဏန္းမႀကီးမ်ားဥခ် လုိက္ေသာ္လည္း သဘာ၀ေဘးအႏၲရာယ္မ်ားျဖစ္သည့္ အသားစား ငါးမ်ားႏွင့္ ငါးဖမ္းသေဘၤာ မ်ား၏ ပုိက္ခ်က္မ်ားေၾကာင့္ အလြန္ႏုနယ္ေသးသည့္ ဥငယ္ေကာင္ေလးမ်ားရွင္သန္ခြင့္မရဘဲ ပ်က္စီးဆုံး႐ႈံးမႈမ်ားရွိခဲ့ပါသည္။
ကဏန္းဥမႀကီးအေကာင္ ၁၀၀ ကုိေမြးျမဴျပဳစုလ်င္ အေကာင္ ေရ ႏွစ္သန္းမွ ခုႏွစ္သန္းအထိိရွင္သန္ႏုိင္ရာ ပင္လယ္ျပင္တြင္ ကဏန္းဥမႀကီးအေကာင္ ၁၀၀ မွ ဥမ်ား ဥခ်လုိက္ ေသာ္လည္း ကဏန္းသားေပါက္ေကာင္ေရ တစ္သိန္းရွင္သန္ရန္ခက္ခဲပါ သည္။
ဧရာ၀တီတုိင္းေဒသမ်ားမွ ကဏန္းစုေဆာင္းသူမ်ားမွာ ေလွႏွင့္ၿမံဳးကုိအသုံးျပဳမႈမ်ားၿပီး ေလွတစ္စီးလ်င္ လူ ၂ ေယာက္ပါရွိကာ ၿမံဳးလုံးေရ ၅၀ မွ ၁၀၀ ထိပါရွိပါသည္။ အေတြ႕ အႀကံဳ အရ ကဏန္းေပါမ်ားေသာ စားက်က္မ်ားကုိ သိေနျခင္းေၾကာင့္ ေရတက္ခ်ိန္မွာ ၿမံဳးခ်ၿပီး ေထာင္ယူၾကပါသည္။ ၿမံဳးထဲမွာ လိပ္ေက်ာက္ သုိ႔မဟုတ္ ငါးေရြးသားမ်ားကုိ ခုတ္ပုိင္းၿပီး အစာ အျဖစ္အသုံးျပဳၾကပါသည္။ ေရျပန္က်ခ်ိန္ခါနီးမွ ၿမံဳးကုိျပန္ေဖၚၿပီး ၿမံဳးတစ္လုံးလ်င္ ကဏန္း ၇- ၈ ေကာင္ မွ ၁၀ ေကာင္မိတတ္ပါသည္။
ဖမ္းဆီးရရွိေသာကဏန္းမ်ားကုိ ေလွေပၚတြင္ လက္မ ႀကိဳးစည္းၿပီး ျခင္းမ်ားတြင္ထည့္သြင္းစုေဆာင္းပါသည္။ ႀကိဳးစည္းရာတြင္ ေလွ်ာ္ႀကိဳး သို႔မဟုတ္ ပီနန္ႀကိဳးမ်ားကုိ သံုးစြဲ ေလ့ရွိၿပီး တစ္ခါတေလႀကိဳးမစည္းဘဲ ေလွ၀မ္းတြင္းလႊတ္ထားတာမ်ဳိး လည္းရွိပါသည္။
ကမ္းကုိျပန္၀င္လွ်င္ ကဏန္းအ၀ယ္ဒုိင္မ်ားသုိ႔ ျပန္သြင္းၾကပါသည္။ ကဏန္းအ၀ယ္ဒုိင္ မ်ားႏွင့္ ကဏန္းစုေဆာင္းသူမ်ား၏ ဆက္ဆံေရးသည္လည္း စိတ္၀င္စားစရာတစ္ခု ျဖစ္ရာ ကဏန္းရွာေဖြသူမ်ား၏ မိသားစု တစ္ခုလုံး လုိအပ္ခ်က္မ်ားကုိ ကဏန္းအ၀ယ္ဒုိင္မ်ားမွ ျဖည့္ ဆည္းေပးရၿပီး စားစရာ၊ ၀တ္စရာ၊ က်န္းမာေရး၊ လူမႈေရးကိစၥမ်ားပါ တာ၀န္ယူေပးေနရပါ သည္။ စာရင္းပိတ္ရင္ ေငြႏွင့္တြက္ရွင္းၿပီး၊ စာရင္းသစ္ ျပန္ဖြင့္ၿပီးလည္ ပါတ္ေနၾကေၾကာင္း သိရွိရပါသည္။ သဘာ၀အေလွ်ာက္ ကဏန္းမ်ားကုိ ၀ါးျဖင့္ ယက္လုပ္ ထားေသာ တစ္ေပခဲြခန္႔ ရွိသည့္ ကြင္းတြင္ ေအာက္မွပုိက္ခံကာ ကဏန္းေထာင္ ဖမ္းဆီးေလ့ရွိပါသည္။ ၀ါးၿမံဳးမ်ားျဖင့္ လည္း ဖမ္းယူႏုိင္ပါသည္။
ပုသိမ္ၿမိဳ႕နယ္တြင္ ေခ်ာင္းသာၿမိဳ႕နယ္ခဲြ၊ ေငြေဆာင္ၿမိဳ႕နယ္ခဲြ၊ ငပုေတာၿမိဳ႕နယ္၊ ဂ်မ္း ကပ္၊ ျပင္ခ႐ုိင္၊ ေခ်ာင္း၀ေဒသမ်ားသည္ ကဏန္းအဓိကထြက္ရွိေဒသမ်ား ျဖစ္ပါသည္။ အခ်ိဳ႕ ေသာေဒသမ်ားမွ ဖမ္းဆီးရရွိေသာ ကဏန္းမ်ားကုိ ေက်းရြာရွိ ကဏန္းအ၀ယ္ ကုိယ္စားလွယ္ မ်ားမွတဆင့္ ၿမိဳ႕ေပၚကဏန္းဒုိင္မ်ားသုိ႔ ေပးပုိ႔ၾကပါသည္။ ကဏန္း၏ သဘာ၀မွာ လျပည့္ရက္ မ်ားတြင္အသားျပည့္ၿပီး၊ လကြယ္ေန႔မ်ားတြင္ အသားမျပည့္ျဖစ္တတ္ပါသည္။ ေရၾကည္သြား လွ်င္ ကဏန္းငုတ္ေနေလ့ရွိၿပီး၊ ေရေနာက္လွ်င္ ကဏာန္းကပုိမုိႏွစ္ သက္ပါသည္။ တစ္ႏွစ္ပတ္ လုံး ရွာေဖြဖမ္းဆီးရရွိႏုိင္ေသာ္လည္း ေႏြပုိင္းမွာ ကဏန္းရွားပါးၿပီး၊ မုိးတြင္းကာလမွာ ကဏန္း ေပါမ်ားကာ ပုိမုိဖမ္းဆီး ရရွိေသာ္လည္း ေစ်းမရ ေၾကာင္း၊ ကဏန္းမ်ားသည္ေရထရက္တြင္ ပုိ၍ဖမ္းဆီးရရွိၿပီး ေရေသရက္မ်ားတြင္ ကဏန္း ရရွိမႈနည္းပါးေၾကာင္းသိရွိရပါသည္။
ဧရာ၀တီတုိင္း၊ ပုသိမ္ၿမိဳ႕တြင္ ကဏန္းအ၀ယ္ဒုိင္ေပါင္း ၁၂ ဒုိင္ရွိၿပီး၊ မူဆယ္၊ ျမ၀တီ လမ္းေၾကာင္းမ်ားသုိ႔ တုိက္ရုိက္တင္ပို႔ေပးေနေသာ ကုမၸဏီအ၀ယ္ဒုိင္ ၃ ဒုိင္ႏွင့္ ရန္ကုန္က ဏန္းအ၀ယ္ဒုိင္ကုမၸဏီမ်ားမွတစ္ဆင့္ခံ ၀ယ္ယူေပးေနေသာဒုိင္မ်ားျဖစ္ပါသည္။
ကဏန္းအ၀ယ္ဒုိင္မ်ားတြင္ ကဏန္းေရာင္းလွ်င္ ရွယ္ႏွင့္ ဂြၽန္ဆုိၿပီး ႏွစ္မ်ဳိးခဲြျခား ၀ယ္ယူေလ့ရွိၿပီး၊ ကဏန္းတစ္ေကာင္အေလးခ်ိန္ ၁၀ က်ပ္သားအထက္ရွိပါက ရွယ္ဟုေခၚၿပီး၊ မ (အမ) ရွယ္ေအဆုိဒ္၊ မ (အမ)ရွယ္ဘီဆုိဒ္၊ထီး(အထီး) ရွယ္ေအဆိုဒ္၊ ထီး(အထီး) ရွယ္ဘီ ဆုိဒ္၊ ဂြၽန္အေသးဆုိၿပီး ခဲြျခားထားရွိကာ ေစ်းႏႈန္းလည္းကြာျခားပါသည္။ မ ရွယ္ေအဆုိဒ္ ၂၅၀ ဂရမ္၊ မရွယ္ ဘီဆိုဒ္သည္ ၁၀၀ ဂရမ္မွ ၁၅၀ ဂရမ္၊ ထီး ရွယ္ေအဆုိဒ္သည္ ၂၅၀ ဂရမ္ အထက္၊ ထီး ဘီဆုိဒ္သည္ ၁၅၀ ဂရမ္မွ ၂၅၀ ဂရမ္၊ ဂြၽန္အေသးသည္ ၁၀၀ဂရမ္ အထက္ ရွိပါသည္။ ကဏန္းမ်ားကုိ ေရာင္း၀ယ္ခြင့္ျပဳထားေသာ အရြယ္အစားမွာ အေလးခ်ိန္ ၉၅ ဂရမ္ အထက္ကုိ ေရာင္း၀ယ္ခြင့္ရွိၿပီး၊ ကန္႔လန္႔အရြယ္ ၈ ဒႆမ ၁၅ စင္တီမီ တာ၊ ေဒါင္လုိက္ အလ်ား ၆ ဒႆမ ၁၅ စင္တီမီတာအရြယ္အစားမ်ားကုိသာ ေရာင္း၀ယ္ႏုိင္ပါသည္။ ကဏန္း အ၀ယ္ဒုိင္မ်ားအေနျဖင့္ ငါးလုပ္ငန္း ဦးစီးတြင္ ၀ယ္ယူစုေဆာင္း ခြင့္လုိင္စင္မ်ား ေလွ်ာက္ထား ရၿပီး ခြင့္ျပဳခ်က္အရသာ ၀ယ္ယူ၊သယ္ယူ၊တင္ပုိ႔ခြင့္ရွိၿပီး၊ ၈ စင္တီမီတာေအာက္ကဏန္းမ်ား ကုိမိခဲ့လွ်င္ သဘာ၀ပါတ္၀န္းက်င္ကုိ ျပန္လႊတ္ေပး ရၿပီး၊ ေရရွည္စားသုံး ႏုိင္ရန္မ်ိဳးထိမ္းသိမ္း ျခင္း Conservation လုပ္ငန္း၏ တန္ဘုိးကုိအ၀ယ္ဒုိင္မ်ားႏွင့္ ၀ယ္ယူစုေဆာင္းသူမ်ားသုိ႔ ပညာ ေပးေဆြးေႏြးလ်က္ရိွေၾကာင္းသိရိွ ရပါသည္။ ကဏန္း၀ယ္ေရာင္းလုပ္ငန္းသည္ သက္ရွိအတုိင္း ကုိင္တြယ္ လုပ္ေဆာင္ရသျဖင့္ ကြၽမ္းက်င္မႈရွိဖို႔အထူးလုိအပ္ၿပီး အျမတ္ႀကီးသလုိ အ႐ႈံးၾကမ္း သည့္လုပ္ငန္းမ်ဳိး လည္းျဖစ္ပါသည္။
ကဏန္း၀ယ္ေစ်း၊ ေရာင္ေစ်းမ်ားသည္ ၀ယ္လုိအားေပၚမူတည္ၿပီး အတက္အက်ရွိပါ သည္။ ယခုရက္အတြင္း ရွယ္အဆင့္ တစ္ကီလုိ ၁၄၀၀ က်ပ္၊ ၁၅၀၀ က်ပ္၊ ကြၽမ္းက်င္ အဆင့္ကုိ ၅၀၀ က်ပ္၊ ၆၀၀ က်ပ္ ေစ်းေပး၀ယ္ယူလ်က္ရွိပါသည္။ ရွယ္အဆင့္ ကဏန္းအမ လုိလွ်င္ တစ္ေကာင္အေလးခ်ိန္ ၂၅၀ ဂရမ္၊ ၉ က်ပ္သားအထက္ အထီးဆုိ လွ်င္ ၂၅၀ ဂရမ္ (၁၅ က်ပ္သား) အထက္ရွိပါမည္။ ရွယ္အဆင့္မ၀င္ ၍ပယ္လိုက္ေသာ ကဏန္းအားလုံးကုိ ဂြၽန္ အဆင့္အမ်ဳိးအစားထဲေရာက္ရွိပါသည္။
၀ယ္ယူရရွိေသာ ကဏန္းမ်ားကုိ ဒုိင္မွာအမ်ားဆုံး တစ္ပတ္ေလာက္သာထားရွိၿပီး ရန္ ကုန္သုိ႔ တင္ပို႔ၾကပါသည္။ ယခုအခါ ရန္ကုန္ကုမၸဏီႀကီးမ်ားမွ အ၀ယ္ကုိယ္စားလွယ္မ်ား နယ္ ဆင္းၿပီး ၀ယ္ယူလာၾကပါသည္။ ဒုိင္ေတြမွာကဏန္းေတြကုိ ထင္း႐ႈးေသတၱာ၊ ၀ါး ျခင္းစသည္ ျဖင့္ အဆင္ေျပသလုိထားရွိၾကၿပီး၊ ေရေဆးသန္႔စင္၊ခ်ိန္တြယ္ဆုိဒ္ခဲြကာ ပုံးႏွင့္ျခင္းမ်ားေအာက္ တြင္ ငွက္ေပ်ာရြက္ခံၿပီး လက္မႀကိဳးစည္းထားေသာ ကဏန္းမ်ားကုိစည္းၿပီးထည့္ရပါသည္။ ကဏန္းမ်ားကုိ ေသတၱာ သုိ႔မဟုတ္ ျခင္းလုိက္ ေရငံထဲသ႔ုိ တေန႔ ၂ ႀကိမ္၊ တစ္ႀကိမ္စိမ္လွ်င္ ၅ မိနစ္ခန္႔စိမ္ေပးရပါသည္။ ေဒသမွာေတာ့ ေရေကြၽးတယ္ လုိ႔ေခၚပါသည္။ ကဏန္းမ်ားသည္ ေရတစ္ခါေကြၽးထားလွ်င္ ၆ ရက္မွ ၇ ရက္ထိ ခံႏိုင္ရည္ရွိပါသည္။ ကဏန္းမ်ား၏ ပုံသ႑န္ ၾကည့္ၿပီး အထီး၊ အမ ခြဲျခားႏုိင္ရာ ဗုိက္ခ်ပ္၍အစြန္းရွိလွ်င္အထီး၊ ပ ေစါက္ပုံ ဗုိက္၀ုိင္းလွ်င္အမ ဟုခဲြျခားပါသည္။ ကဏန္းမ်ားသည္ ေသၿပီး ၆ နာရီခန္႔ၾကာလွ်င္ပုတ္ၿပီး၊ အေရေပ်ာ္တတ္ ပါသည္။ မုိးေရ၊ ေရငံထိျခင္း၊ ျခင္ကုိက္ျခင္းတုိ႔ေၾကာင့္ အခံြေျခာက္ၿပီး ေသဆုံးတတ္ပါသည္။
ဧရာ၀တီတုိင္း၏ၿမိဳ႕နယ္မ်ားမွ ၂၀၀၅-၂၀၀၆ ခုႏွစ္ႏွင့္ ၂၀၀၆-၂၀၀၇ ခုႏွစ္မ်ားတြင္ ကဏန္းတင္ပုိ႔မႈမွာ ေအာက္ပါအတုိင္းျဖစ္ပါသည္-
စဥ္ ၿမိဳ႕နယ္ ၂၀၀၅-၂၀၀၆
(ဧၿပီမွမတ္လအထိ) ၂၀၀၆-၂၀၀၇
(ဧၿပီမွမတ္လအထိ)
၁။ ပုသိမ္ ၅၄၇၀၀၀ ၁၃၅၀၅၀၀
၂။ ငပုေတာ ၂၂၁၀၀၀ ၆၄၆၄၀၀
၃။ ေမာ္လၿမိဳင္ကၽြန္း - ၃၁၀
၄။ လပြတၱာ ၃၉၅၀၀၀ ၆၇၄၂၀၀
၅။ ဖ်ာပံု ၅၅၀၀၀ ၉၇၆၉၀
၆။ ဘုိကေလး ၁၄၂၇၀၀ ၂၄၅၁၄၀၀
၇။ ေဒးဒရဲ ၁၀၁၀၀ ၂၀၀၉၈၀
စုစုေပါင္း ၁၃၇၀၈၀၀ ၅၄၂၁၇၅၀
ကဏန္းမ်ားတင္ပို႔သည့္လမ္းေၾကာင္းကုိလိုက္၍ ၀ါးျခင္းတစ္ျခင္းကုိ ၂၀ ကီလုိဂရမ္၊ ေကာ္ျခင္းတစ္ျခင္းကုိ ၂၀ ကီလုိဂရမ္၊ သစ္သားတာႀကီး ၂၀ ကီလုိဂရမ္၊ တာေသးကုိ ၁၀ ကီလုိဂရမ္ထည့္သြင္းအသုံးျပဳၿပီး ရန္ကုန္မွ တစ္ဆင့္ ကားမ်ားျဖင့္မူဆယ္ႏွင့္ ျမ၀တီနယ္စပ္ မ်ားသုိ႔ ေပးပုိ႔ေရာင္းခ်ၾကၿပီး ကဏန္းမ်ားကုိ စားေသာက္ဆုိင္မ်ား၊ ဟုိတယ္မ်ားတြင္ အစာ သြတ္ျခင္း၊ ကဏန္းမဆလာခ်က္ျခင္း၊ အသားထုတ္ေက်ာ္ျခင္း စသည္ျဖင့္ စားသုံးၾက သကဲ့သုိ႔ တ႐ုတ္ျပည္တြင္ ကဏန္းအေရေပ်ာ့ေအာင္လုပ္ၿပီး အေကာင္လုံး အဂၤါ စုံလင္မွစားသုံး ေလ့ရွိေၾကာင္း သိရပါသည္။ ကမၻာ့ႏုိင္ငံအသီးသီးတြင္ Sea Food ပင္လယ္ကဏန္းအစား အစာဟင္းသည္ အရသာအထူး ေကာင္းမြန္ေသာ ဟင္းတစ္မ်ဳိးျဖစ္ ပါသည္။ ယခုပုသိမ္ေစ်း ကြက္တြင္ ကဏန္းမ်ားကုိ မူဆယ္သုိ႔တင္ပုိ႔မႈနည္းၿပီး၊ ျမ၀တီနယ္စပ္သုိ႔တင္ပုိ႔မႈမ်ားေၾကာင္း၊ မူဆယ္သုိ႔ကားမ်ားျဖင့္ တင္ပို႔မႈအစား တာခ်ီလိတ္မွတဆင့္ ျပည္ပသုိ႔ ကုမၸဏီတစ္ခုမွ ေလ ယာဥ္ျဖင့္ တုိက္ရုိက္တင္ပုိ႔ေပးလ်က္ရွိေၾကာင္း၊ ကဏန္းဒုိင္တစ္ခု သိရွိရပါသည္။ ပုသိမ္ ေစ်း ကြက္မွ ကဏန္းမ်ားကုိ ျမ၀တီနယ္စပ္မွတဆင့္ ခံကာ စကၤာပူႏုိင္ငံႏွင့္ ဗီယက္နမ္ႏိုင္ငံမ်ားသုိ႔ တဆင့္ျပန္လည္ ေရာင္းခ် လ်က္ရွိေၾကာင္းသိရွိရပါသည္။
ကဏန္းမ်ားမွာ ရရွိေသာမုိးတြင္းကာလမ်ားတြင္ ကီလုိဂရမ္ ၂၀၊ ၁၂ ပိႆာခန္႔ရွိေသာ ကဏန္းျခင္းမ်ား Hilux ကားတစ္စီးလွ်င္ျခင္း ၇၀ ထိပုံမွန္တင္ေဆာင္ေပးပုိ႔ၿပီး၊ ကဏာန္း ျခင္းပုိ တင္ေဆာင္ခဲ့လွ်င္ တစ္ျခင္းလွ်င္ ၈၀၀ က်ပ္မွ ၁၀၀၀ က်ပ္ၾကားထပ္မံေပးေဆာင္ရပါသည္။ ပုသိမ္ၿမိဳ႕မွထြက္ရွိေသာ ကဏန္းမ်ားကုိ ရန္ကုန္ၿမိဳ႕ သုိ႔ကားမ်ားျဖင့္ တင္ပုိ႔ၿပီး ရန္ကုန္မွတဆင့္ ျမ၀တီ၊ မူဆယ္ေဒသမ်ားသို႔ စုံတက္၊ မဆင္း စနစ္ျဖင့္ တစ္ရက္ျခား ဆက္လက္ေပး ပုိ႔ၾကပါ သည္။ ေစ်းကြက္မ၀င္သည့္ ကဏန္းမ်ားကုိ ရန္ကုန္ၿမိဳ႕တြင္း ေရာင္းခ်ၿပီး အ၀ယ္ပဲြ႐ုံမ်ားသုိ႔ ေပးပုိ႔ေရာင္းခ်ၾကပါသည္။
ကဏန္းမ်ားကုိ ျမ၀တီနယ္စပ္တြင္ ကဏန္းျခင္းမ်ားျဖင့္ ၀ယ္ယူၿပီး မူဆယ္နယ္စပ္တြင္ ေသတၱာစင္မ်ားျဖင့္ ၀ယ္ယူေလ့ရွိပါသည္။ ေသတၱာတစ္ပုံးလွ်င္ ၁၀ ကီလုိမွ ၂၀ ကီလုိ အတြင္း ထည့္သြင္းေပးပုိ႔ၾကပါသည္။ မူဆယ္သုိ႔တင္ပုိ႔ရာတြင္ တ႐ုတ္ျပည္၏ ယြမ္ေစ်းအေျပာင္း အလဲ ႏွင့္ရာသီဥတုအေနအထား ကဏန္း၀င္ေရာက္မႈ အနည္းအမ်ားေပၚ မူတည္ၿပီး ေစ်းႏႈန္းကြာျခား တတ္ပါသည္။
တ႐ုတ္ျပည္တြင္ ပင္လယ္စာအျဖစ္စားေသာက္ၾကရာ ကဏန္းအမမ်ားကုိသာ သီးသန္႔ ၀ယ္ယူ စားေသာက္ေလ့ရွိသျဖင့္ ကဏန္း၀ယ္ယူရာတြင္ အထီး၊ အမ ခြဲျခား၀ယ္ယူၾက သည္။ ျမ၀တီနယ္စပ္ တြင္ ကဏန္းအထီးမ်ားကုိ ဟုိတယ္၊ စားေသာက္ဆုိင္ႀကီးမ်ားတြင္ အမ်ားဆုံး စားသုံး ေလ့ရွိၾကပါသည္။
ဧရာ၀တီတုိင္းအေနျဖင့္ ပင္လယ္ျမစ္ေခ်ာင္းမ်ားမွ သဘာ၀အေလ်ာက္ဖမ္းယူရရွိေသာ ကဏန္းမ်ားကုိ ေစ်းကြက္တင္ပုိ႔ေရာင္းခ်ေနပါက မၾကာမီကာလမ်ားတြင္ ကဏာန္း ထုတ္လုပ္မႈ မ်ား ေလ်ာ့နည္းလာႏိုင္ပါသည္။ တနသၤာရီတုိင္း၊ ဧရာ၀တီတုိင္း၊ ရခုိင္ျပည္နယ္မ်ားတြင္ ကဏန္းအသားတုိးေမြးျမဴျခင္းမ်ား ေအာင္ျမင္ေနၿပီျဖစ္ရာ ကဏာန္း မ်ားစနစ္တက်ေမြးျမဴျခင္း၊ အသားတုိးေမြးျမဴျခင္းမ်ားကုိ ပုိမုိတုိိးတက္ေအာင္လုပ္ေဆာင္ရမည့္အျပင္ ကန္ျဖင့္ေမြးျမဴျခင္း မ်ားကုိလည္း တုိးခ်ဲ႕လုပ္ေဆာင္သင့္ပါသည္။ သုိ႔မွသာ ေစ်းကြက္မွလုိအပ္ေသာ ကဏန္းမ်ား ေပးပုိ႔နုိင္မည္ျဖစ္ၿပီး၊ အေရွ႕ေတာင္အာရွ ဖိလစ္ပုိင္၊ ဗီယက္နမ္ႏိုင္ငံ၊ ထုိင္း၊ မေလးရွားႏုိင္ငံမ်ား ဒီေရေရာက္ေဒသ မ်ားမွ ကဏာန္းေမြးျမဴ ေရးစခန္းမ်ားႏွင့္ သုေတသနစခန္းမ်ား ဖြင့္လွစ္ကာ ကဏန္းသားေပါက္ ထုတ္လုပ္ေရးကုိ စမ္းသပ္ေဆာင္ရြက္လ်က္ရွိေၾကာင္း သိရွိရပါသည္။
ႏိုင္ငံေတာ္အတြက္ ႏုိင္ငံျခား၀င္ေငြရွာေဖြေပးေနေသာ ေရသယံဇာတျဖစ္သည့္ ကဏန္းတင္ပုိ႔ ေရာင္းခ် ျခင္းျဖင့္ ႏုိင္ငံျခား၀င္ေငြရရွိမႈမွာ ေအာက္ပါအတုိင္းျဖစ္ပါသည္-
၂၀၀၇ ခုႏွစ္ ဇြန္လ ကဏန္းတစ္တန္ၾကမ္းခင္းေစ်း-
၁၅၀ ဂရမ္ ေအဆုိဒ္ အေမရိကန္ေဒၚလာ ၂၁၀၀
၂၀၀ မွ ၂၅၀ ဂရမ္ ဘီဆုိဒ္ အေမရိကန္ေဒၚလာ ၁၉၀၀
၁၅၀ မွ ၂၀၀ ဂရမ္ စီဆုိဒ္ အေမရိကန္ေဒၚလာ ၁၇၅၀
၁၀၀ မွ ၁၅၀ ဂရမ္ ဒီဆုိဒ္ အေမရိကန္ေဒၚလာ၁၆၀၀ေစ်းမ်ားျဖင့္ ျပည္ပသုိ႔ေရာင္း ခ်ႏုိင္ေၾကာင္း သိရပါသည္။
ဧရာ၀တီတုိင္း၊ ေရထြက္ပစၥည္းမွ ႏိုင္ငံေတာ္အတြက္ျပည္ပ၀င္ေငြရွာေဖြေပးေနေသာ ကဏန္းမ်ားအား စနစ္တက်ေမြးျမဴျခင္း၊ အသားတုိးေလွာင္အိမ္မ်ားျဖင့္ ေမြးျမဴျခင္းမ်ားကုိ တုိးတက္ေအာင္ေဆာင္ရြက္ၿပီး ကဏန္းလုပ္ငန္း၀ယ္ေရာင္းအဆင့္မွ စီးပြားျဖစ္ေမြးျမဴၾကကာ တစ္ဆင့္တက္လွမ္းႏုိင္ေသာ စီးပြားေရးနယ္ပယ္ ျဖစ္လာၿပီး၊ ႏုိင္ငံေတာ္၏ ေစ်းကြက္စီးပြား ေရးစနစ္ႏွင့္အညီ ျပည္ပသုိ႔တင္ပုိ႔ ေရာင္းခ်ကာ ႏုိင္ငံျခား၀င္ေငြ မ်ားတုိးတက္ရရွိလာမည္မွာ အမွန္ပင္ျဖစ္ေပသည္။
Labels: စီးပြား၊ကုန္သြယ္, ေရလုပ္ငန္း
Wednesday, August 15, 2007
How to Hide a Folder Using Notepad
There are plenty of software which lock your folders make your data safe from being disclosed, such as Folder Lock, etc... some are free, other costs a lot of money.
But may be there are occasions that you would like to "HIDE(not lock)" the data from somebody such as your girlfriend, wifes(in case when knowing that you are using such kind of data lock programs sparks un-smoothness between your relations), you can use the following simple methods.
Ref : from ThaiShadow Webboard by sarawoot_c@hotmail.com
But be SURE that
1. Your girlfriend/wife is not computer literate(enough to know your technique, since there is no password protect) and
2.You are not so serious enough if he/she can see the contents(by accidents somehow, however)
Here is the steps.
* Consider you want to lock a folder named PICS in your D:\, whose path is D:\PICS
a.) Now open the Notepad and type the following
ren pics pics.{21EC2020-3AEA-1069-A2DD-08002B30309D}
- Where pics is your folder name. Save the text file as "loc.bat"(or whateverelse name you are only one who knows what it is) in the same drive.
b.) Open another new notepad text file and type the following
ren pics.{21EC2020-3AEA-1069-A2DD-08002B30309D} pics
* Save the text file as "key.bat"(or any name in .bat) in the same drive.
USAGE:
* To lock the pics folder, simply click the loc.bat and it will transform into control panel icon(when clicked, the screen will be directed to "Control Panel" pane.
* To unlock the folder click the key.bat file. Thus the folder will be unlocked and the contents are accessible.
Tips : To make more safe(in order to other more hard to use it) don't leave the 2 batch files alone, you can zip it and keep it.(Unzip and use when needed)
Labels: IT
Tuesday, August 14, 2007
พม่าผลิตปลาไหลจนล้นตลาดส่งจีนราคาหลุ่น
ปลาตัวยาวๆ ชนิดนี้กำลังยุ่ง ช่วงนี้จับได้มากเกินไปทำให้ราคาหล่นวูบที่ด่านมูเซะ พม่าขายปลาไหลทำเงินได้มหาศาลในแต่ละปี
ผู้ส่งออกในพม่ามีรายได้ดีมากจากการจำหน่ายสินค้าประเภทสัตว์น้ำและอาหารทะเลให้แก่ผู้ค้าในมณฑลหยุนหนันของจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และอยู่ห่างไกลจากทะเลแต่การผลิตมากๆ ทำให้ล้นตลาดๆได้เหมือนกัน ที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ก็คือปลาไหล
ตามรายงานของนิตยสารข่าวรายสัปดาห์ "เมียนมาร์ไทมส์" ปัจจุบันปลาไหลกำลังล้นตลาด ทำให้ราคาขายส่งที่ด่านมูเซะ (Muse) รัฐชาน (Shan) ติดกับมณฑลหยุนหนันตกวูบลงน่าใจหาย
Ref : โดย ผู้จัดการออนไลน์ 13 สิงหาคม 2550 20:50 น.
นิตยสารข่าวฉบับนี้รายงานโดยอ้างตัวเลขจากการเปิดเผยของนายทุนเส่ง (Tun Sein)
ประธานสมาคมผู้แปรรูปและส่งออกสินค้าประมงแห่งพม่า (Myanmar Fishery Products Processors and Exporters Association) หรือ MFPEA
"ความต้องการปลาไหลที่ด่านมูเซะมีแค่วันละ 40 ตัน แต่มีการส่งปลาไหลไปที่นั่นวันละ 50-60 ตันทุกวัน" นายเส่งเปิดเผยระหว่างการประชุมสัมมนานัดหนึ่งที่จัดขึ้นในกรุงย่างกุ้งในสัปดาห์ปลายเดือนที่แล้ว
ราคาจำหน่ายปลาไหลที่ด่านมูเซะซึ่งกำกับโดยรัฐในปัจจุบันเหลือเพียง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน แต่นายขิ่นโกเล (Khin Ko Lay) อธิบดีกรมประมงยอมรับว่า การซื้อขายในตลาดทั่วไประหว่างผู้ค้ารายย่อยด้วยกันราคาหล่นลงเหลือเพียง 1,700-1,800 ดอลลาร์ต่อตันเท่านั้น
อธิบดีกรมประมงกล่าวว่าผู้ค้าส่งปลาไหลไปที่นั่นมากเกินไป แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่เลี่ยงได้ยาก เนื่องจากกำลังเป็นฤดูที่จับสัตว์น้ำได้มากที่สุดในประเทศนี้
"เราจับพวกปลาต่างๆ ได้มากที่สุดในช่วงนี้ของทุกปี ก็เป็นธรรมดาเมื่อจับได้ก็จะต้องรีบส่งไปยังตลาดให้เร็วที่สุดขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่" ผู้ค้ารายหนึ่งกล่าว
ผู้ค้ากล่าวอีกว่าราคาปลาไหลอาจจะหล่นลงต่ำกว่า 1,700 ดอลลาร์ต่อตัน รวมทั้งราคาของปลาชนิดต่างๆ ที่ด่านมูเซะอาจจะต้องตกลงอีกในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ เนื่องจากจีนเองก็จับได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน
สมาคมผู้ค้าฯ ยินดีที่จะให้ทางการกำหนดราคาให้ต่ำลงมากกว่าจะถูกกำหนดโควตาไม่ให้เกินวันละ 40 ตัน หรือประมาณ 1,200 ตันต่อเดือน
ช่วงเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้วพม่าส่งออกปลาไหลสู่ตลาดจีนผ่านระบบการค้าข้ามแดนที่ด่านมูเซะเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ตัน
ตามตัวเลขของกรมประมงจนถึงวันที่ 31 พ.ค.ปีนี้ การส่งออกปลาไหลทำเงินให้ประเทศ แล้วกว้า 5.1ล้านดอลลาร์ แต่ก็เป็นเพียงประมาณ 15% ของเป้าหมาย 35 ล้านดอลลาร์ตลอดปีงบประมาณ 2550-2551 นี้
ตามตัวเลขที่เป็นทางการ ในปีงบประมาณ 2549-2550 ที่สิ้นสุดลงในเดือน มี.ค. พม่าส่งออกปลาไหลรวม 6,856 ตัน เป็นมูลค่า 18.95 ล้านดอลลาร์
นอกจากปลาไหลแล้วพม่ายังส่งออกสัตว์น้ำอีกหลายชนิดป้อนตลาดจีนผ่านด่านมูเซะ รวมทั้งปูชนิดต่างๆ ด้วย
ด่านมูเซะคู่กับด่านยุ่ยลี่ (Ruili) ในฝั่งจีน ที่นั่นอยู่ห่างจากเมือลาเฉียว (Lashio) เมืองเอกของรัฐชานเหนือราว 190 กิโลเมตร และ ห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ในพม่าราว 350 กม.
ด่านมูเซะ-ยุ่ยลี่ เป็นช่องทางการค้าขายที่ใหญ่ที่สุดระหว่างจีนกับพม่า ทางการจีนมีแผนที่จะตัดถนนและทางรถไฟที่ทันสมัยไปยังยุ่ยลี่ และจะช่วยสร้างทางรถไฟในดินแดนพม่าจากมูเซะไปยังเมืองมี๊ตจีนา (Myitkyina) เมืองเอกของรัฐกะฉิ่นอีกด้วย
จีน-พม่าได้ตกลงจะเชื่อมการขนส่งทางรถไฟและรถยนต์เข้าหากัน การก่อสร้างส่วนที่อยู่ในดินแดนจีนได้เริ่มแล้วเมื่อต้นปีนี้.
Labels: สัตว์น้ำและอาหารทะเล
เหนือฟ้ายังมีฟ้า
โลกในมุมมองของ Value Investor - ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 14 สิงหาคม 2550 Ref : www.thaivi.com
ผมชอบลงทุนในบริษัทที่ดีเยี่ยมหรือดีที่สุดในอุตสาหกรรม ยิ่งเป็นบริษัทที่เหนือกว่าคู่แข่งมากประเภทที่เรียกว่า Dominant Firm หรือบริษัทที่สามารถ "ครอบงำ" อุตสาหกรรมหรือคู่แข่งอื่น ๆ ได้ ผมก็จะยิ่งชอบ เพราะบริษัทประเภทนี้จะมีความสามารถในการแข่งขันสูง มีกำไรที่ดี ความเสี่ยงทางธุรกิจจะต่ำ และถ้าบริษัทมีการเติบโตที่ดีและมีราคาหุ้นที่ถูกด้วยแล้วละก็ การซื้อหุ้นดังกล่าวแล้วถือเก็บไว้ยาวนานก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมโดยที่เราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
แต่การเป็นบริษัทที่โดดเด่นแทบจะสามารถครอบงำธุรกิจได้นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะไม่มีความเสี่ยงเลย บริษัทอาจจะไม่มีหรือมีการคุกคามจากคู่แข่งน้อยมากเพราะศักยภาพทางธุรกิจของคู่แข่งอาจจะไม่สามารถเทียบกับบริษัทได้เลย แต่บริษัทอาจจะมีการคุกคามจาก "รัฐ" ทั้งในทางตรงและทางอ้อมที่ทำให้ยอดขายและ/หรือกำไรของบริษัท ถดถอยลงซึ่งจะทำให้มูลค่าของหุ้นลดลงได้ ดังนั้น คนที่ลงทุนในหุ้นประเภท Dominant Firm จะต้องคอยติดตามดูว่าบริษัทอาจจะกำลังโดน "อำนาจรัฐ" เล่นงานหรือเปล่ามากยิ่งกว่าการคุกคามจากคู่แข่ง
อำนาจรัฐนั้นมาได้จากหลาย ๆ ทางเช่น ผ่านทางกฎหมายต่อต้านการผูกขาด กฎหมายควบคุมราคาสินค้า กฎหมายเกี่ยวกับอาหารและยา กฎหมายเกี่ยวกับการค้าปลีกค้าส่ง กฎหมายผังเมือง กฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาและเผยแพร่ข่าวสาร เรื่องของการให้สัมปทานแก่เอกชน และอื่น ๆ อีกร้อยแปด การบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้น บางครั้งก็เป็นเรื่องที่ยุติธรรมและมีเหตุผลเพื่อปกป้องผู้บริโภคและสังคมโดยรวม แต่บ่อย ๆ ครั้งก็เป็นสิ่งที่ไม่ใคร่จะมีเหตุผลที่ดีนักและขัดกับแนวปฏิบัติสากล ซึ่งทำให้บางครั้งเราไม่สามารถมั่นใจได้ว่าความเสี่ยงของบริษัทที่เราวิเคราะห์นั้นใกล้เคียงกับความเป็นจริงหรือเปล่า เพราะเราวิเคราะห์ได้เฉพาะสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลและมีแนวปฏิบัติในระดับสากลเท่านั้น
ลองมาดูเรื่องของการคุกคามบริษัท Dominant Firm ในต่างประเทศก่อนที่จะพูดถึงกิจการในประเทศไทย ตัวอย่างเช่นในกรณีของ ไมโครซอฟท์ นี่คือบริษัทที่ครอบงำโปรแกรมควบคุมคอมพิวเตอร์กว่า 90% ทั่วโลก ไมโครซอฟท์ถูกรัฐบาลในหลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรปเล่นงานในหลาย ๆ เรื่องส่วนใหญ่จะผ่านกฎหมายต่อต้านการผูกขาด อีกกรณีหนึ่งก็คือโค๊กซึ่งมีฐานะทางการตลาดที่โดดเด่นทั่วโลก แต่ก็ถูกต่อต้านเกือบทุกแห่งเช่นเดียวกันโดยส่วนใหญ่เน้นไปที่การถูกโจมตีว่าเป็นเครื่องดื่มที่ทำลายสุขภาพ ดังนั้นจึงถูกห้ามขายในสถานที่ต่าง ๆ เช่นตามโรงเรียนเป็นต้น
ในเมืองไทยเองนั้น ผมคิดว่าการคุกคามจากรัฐมีค่อนข้างมาก และบ่อยครั้งผมยังไม่ใคร่เห็นเหตุผลที่ดี ลองไล่ดูเรื่องที่เคยเป็นข่าวและเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แล้วเป็นปกติ เริ่มจากเรื่องแรกที่เกิดขึ้นเป็นประจำก็คือ การควบคุมราคาของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในความเห็นผมคิดว่ารายชื่อของสินค้าที่ต้องดูแลและควบคุมนั้นดูเหมือนว่าจะค่อนข้างเก่าและเกิดขึ้นนานมากสมัยที่สังคมไทยยังเป็นสังคมที่ "ขาดแคลน" สินค้าอุปโภคบริโภคเนื่องจากเรายังไม่สามารถผลิตได้เพียงพอและมีผู้ขายสินค้าน้อยราย ดังนั้นเราจึงมักจะรู้สึกว่ามีรายชื่อสินค้า "แปลก ๆ" ที่ทางการต้องดูแล จับตามองหรือควบคุม ในขณะที่ในปัจจุบันนี้ ผมคิดว่าเมืองไทยมีการผลิตและขายสินค้าจำเป็นและไม่จำเป็นเกือบทุกชนิดมากเกินพอที่ทำให้เราแทบไม่จำเป็นต้องควบคุมราคาสินค้าเลย เพราะตลาดจะเป็นคนที่กำหนดราคาสินค้าที่พ่อค้าจะขายได้
ช่วงระยะหลัง ๆ โดยเฉพาะที่มีกระแสของการ "ต่อต้านทุนนิยมและต่างชาติ" เราก็เริ่มเห็นอำนาจรัฐที่จะเริ่มคุกคามบริษัทที่มีอำนาจทางการตลาดสูง เช่นในกลุ่มของการค้าปลีกสมัยใหม่หรือ Modern Trade ซึ่งนอกจากจะชะลอการขยายตัวแล้วก็ยังพยายามกำหนดกฎเกณฑ์การตั้งราคาซื้อและขายสินค้าเพื่อลดอำนาจทางการตลาดหรือกำไรของกิจการที่โดดเด่นเหล่านั้น
การแทรกแซงทางธุรกิจโดยอ้างหรืออิงปัญหาสังคมและสุขภาพก็เริ่มมีมากขึ้นและนี่ก็เป็นการคุกคามที่เรามักจะคาดไม่ถึงเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น มีความพยายามที่จะกำหนดเวลาในการออกอากาศรายการทีวีตามการจัดเรทรายการต่าง ๆ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงรายได้และกำไรของสถานีคงลดน้อยลง มีการพูดถึงการควบคุมการโฆษณาขนมสำหรับเด็กเพราะเห็นว่าเด็กปัจจุบันมีปัญหาโรคอ้วน คนที่เสนอความคิดเองคงคิดว่าถ้าลดการโฆษณาลงจะทำให้เด็กไทยอ้วนน้อยลง แต่ที่น่าทึ่งมากกว่าก็คือ มีข่าวเรื่องสุขภาพกับการกินเรื่องหนึ่งบอกว่าน่าจะมีการเก็บภาษีน้ำจิ้มสุกี้เนื่องจากเป็นอาหารรสจัดเป็นผลเสียต่อสุขภาพ คิดดูแล้ว ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง ต่อไป เวลากินอาหารนอกบ้านคนไทยคงต้องเลิกขอน้ำปลาพริกขี้หนู เพราะถ้าร้านไหนจัดให้อาจจะต้องเสียภาษีเพิ่มเพราะเป็นน้ำจิ้มที่มีรสจัดทำลายสุขภาพ
การคุกคามต่อธุรกิจจากอำนาจรัฐนั้น แนวโน้มมักจะเกิดสูงกว่าในช่วงที่ประเทศไม่ได้อยู่ในภาวะที่เป็นประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งซึ่งทำให้คนใช้อำนาจไม่ต้องสนใจเรื่องความเห็นของประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงมากนัก เช่นเดียวกัน ในช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ก็มักจะมีแนวโน้มที่จะพยายามสร้างกฎเกณฑ์ควบคุมธุรกิจและเพิ่มบทบาทของรัฐโดยคิดว่านั่นเป็นวิธีที่จะจัดสรรทรัพยากรของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพกว่า ในทั้งสองกรณี บริษัทที่มีแนวโน้มที่จะถูกกระทบก็คือธุรกิจที่โดดเด่นและมีอำนาจทางการตลาดสูง และนี่คือความเสี่ยงที่สำคัญของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น เวลาวิเคราะห์หุ้นโดยเฉพาะ Super Stock นั้นให้นึกถึงสุภาษิต "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" เอาไว้ด้วย
Saturday, August 11, 2007
เรื่องจริง ธุรกิจ Work @ Home (ทำงานทางเน็ตอยู่บ้าน)
ธุรกิจ work@home หรือ ธุรกิจที่ทำงานที่บ้าน ผ่านอินเตอร์เน็ต เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ที่มีการกล่าวอ้างถึงรายได้สูง ๆ ที่ได้เดือนละ เป็นแสนหรือเป็นล้านจริงหรือไม่ วันนี้ทีมงานเราจามาบอกเล่าประสบการณ์จริงที่ได้มาจากการพิสูจน์จริง ขอย้ำว่า เรื่องจริง เพื่อเป็นความรู้แก่ผู้ที่ตัดสินใจที่จะทำ หรือคิดที่จะทำธุรกิจดังกล่าว โดยทีมงานจะบอกถึงข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง จากประสบการณ์จริง หวังว่า คงเป็นประโยชน์สำหรับท่านไม่มากก็น้อย แม้บ้างท่านจะประสบพบเจอมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีผู้หลงกลอีกเป็นจำนวนมาก
Ref From : http://www.thaishadow.com/board by viruser
หลายๆ ท่านที่คิดจะเริ่มต้นทำงาน Part-time หรือ Full-time ที่สามารถทำรายได้สูงๆ โดยใช้ระเวลาเพียงแค่ 2-3 ชม.ในการทำงาน และทำงานที่บ้านผ่านทางอินเตอร์เน็ต เชื่อว่า ท่านคงได้พบเห็นมาบ้างแล้วผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ ที่มี Bandner ให้คลิกกรอกข้อมูลของท่าน แล้วทำการ submit ข้อมูล จากนั้นข้อมูลของท่านจะถูกส่งไปยังศูนย์กลาง หลังจากนั้นประมาณ 1 วัน จะมีคนติด ต่อมาหาท่าน เพื่อให้ท่านไปร่วมประชุมในวันเสาร์เวลาตั้ง แต่ 12.30 เป็นต้นไป เค้าจะพูดจาหว่านล้อมต่าง ๆ นา แล้วบอกว่าใช้เวลาไม่นาน ไม่เกินชั่วโมงครึ่ง เพื่อให้ท่านไปให้ได้ เมื่อท่านไปตามนัดแล้ว เค้าจะให้ท่านลงทะเบียนแล้วให้บอกว่าใครแนะนำท่าน เสร็จแล้วเมื่อเข้ามานั่งประจำที่ก็จะมีแก๊งเสื้อสูทดำ มายืนกันเป็นแถวๆ มาล้อมรอบตัวคุณไว้ประมาณว่า ไม่ให้คุณหนีไปไหน พอคุณนั่งซักพักเค้าก็จะเปิดเพลง simply the best แล้วมีคนใส่เสื้อดำออกมายืนปรบมือเหมือนรับน้องใหม่ (ประมาณว่าวันนี้มีหมูมาลงหม้อกี่ตัวต้องนับให้ดีๆ) ไม่นานนักก็จะมีคนมาพูดเรื่องแผนธุรกิจ ฉายเรื่องต่าง แล้วไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเค้าก็จะเข้าเรื่องผลิตภัณท์ ที่ดีที่สุด สุดยอด สุดยอด พวกเราเห็นพูดอยู่สองคำ เกี่ยวกับลดน้ำหนัก ได้รับอย. แล้วก็มีคนมาแสดงความเห็น เกือบๆ ร้อยคน มีรายได้กันแบบ ถล่มทลาย บางคนสองแสน แสนห้าก็มี คนเหล่านั้นจะมาพูดชักจูงให้เห็นว่า เงินเดือนของเขาได้มาง่ายมากและเยอะมากจนน่าเกลียด แล้วจะลงท้ายด้วยประโยคที่ว่า “เราทำได้ คุณเองก็ทำได้เช่นกัน” และปิดท้ายด้วย “ขอบคุณ.....(ชื่อผลิตภัณฑ์!!!)....” เมื่อเสร็จจากการประชุมใหญ่ เค้าก็จะให้เราแยกมาเพื่อรวมกลุ่มของบุคคลที่แนะนำเรามา จะมีวิทยากรมาพูดด้วยท่าทางแข็งกร้าวอีก ประมาณ 2 ชั่วโมง (โอ้!!! ร่วมแล้วใช้เวลาในการประชุมเกิน 4 ชั่วโมง) โดยอธิบายข้อมูลแบบคร่าว ๆ ทิ้งข้อสงสัยไว้ให้เรามากมาย ไม่ว่า เราจะถามอย่างไรเค้าก็จะให้คำตอบแบบอ้อม ๆ ครับ ดูแล้วไม่เค้าประเดนที่ถามมากนัก เพื่อให้มาฟังเพิ่มเติมอีกในวันอาทิตย์ ที่เป็นวันถัดมา โดยมีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงาน 550 บาท(ให้จำไว้ว่านี้ยังไม่ได้เริ่มทำธุรกิจก็เสียเงินก่อนเลย ครั้งแรกยังไม่รวมค่าเดินทางครับ) ถ้าหากไม่มีเงินเดียวนั้น คุณพี่แก๊งสูทชุดดำก็จะใจดีให้คุณวางมัดจำไว้ก่อน เพื่อจองบัตรหรือทำการโอนเงินผ่านทาง ATM ให้กับผู้แนะนำของคุณ เค้าก็จะพูดต่อไปว่า 550 บาท มันคุ้มมากกับการที่ได้รายได้เดือนละเป็นแสน งานนี้ปีนี้มีครั้งเดียวเท่านั้น (ซึ่งมารู้ทีหลังว่า มีทุกอาทิตย์เลยก็ว่า ได้ เอาไว้หลอกเหยื่อรายต่อไป) ชื่องานประมาณว่า How to make money อะไรเนี้ยแหละ * (มีข้อคิดนะครับ คนหนึ่งคน 550 บาท แต่งานนี้ที่ไปมีประมาณ 1000 คน เอา 550 บาท* 1000 คน ตกแล้วประมาณ 550 000 บาท คูณ 4 คือจำด้วยวันที่จัด 4 ครั้งภายใน 1 เดือนครับ (คือทุกอาทิตย์) หักค่าสถานที่โรงแรม ค่าอาหารครั้งละไม่น่าเกิน 150 000 บาท 4 ครั้ง แล้วคุณคิดว่า ที่เหลือไปไหนหรอครับ ......... ก็อาจจะมีค่าอย่างอื่น “ไม่มีใครรู้”
เมื่อคุณมาในงาน how to make money ที่จัดขึ้น ณ โรงแรมหรู ระดับ 4 ดาวขึ้นไป คุณก็จะได้ลงทะเบียนหน้างาน มีคนมามากมายเต็มไปหมด ส่วนมากจะเป็นคนทั่วไปอายุตั่ง แต่ 17-30ปี ซะส่วนใหญ่ และอีกกลุ่มที่ยืนปะปนกับผู้คนคนอื่นๆ ก็คือแก๊งสูทดำ ยืนเท่ห์อยู่ทุกจุด เมื่องานเริ่มก็มีการเปิดเพลงเดิม simply the best แล้วก็มีคนลุกขึ้นยืนปรบมือ (แก๊งสูทดำ) พวกเราสังเกตได้ว่า เค้าจะวางตำแหน่งคนของเค้า (แก๊งเสื้อดำ) ไว้เป็นจุดๆ ไม่ให้ห่างจากคนที่เข้ามาในงานนี้ครั้งแรกมากนัก เรียกได้ว่า ทุกตำแหน่งบนโต๊ะที่มีการประชุม จะมีคนประเภท แก๊งเสื้อดำมายืนคุม ไม่ให้คุณทำอะไรตามใจได้ง่ายๆ แล้วรายการต่อไปก็คือ รายการโม้อีกเช่นเคย หนูมีรายได้สามหมื่นค่ะ ผมมีรายได้สองแสน ชั้นมีรายได้สามแสน ว่ากันไปเป็นคนๆ ประมาณหนึ่งร้อยคน กินเวลาหนึ่งชั่วโมง ออกไปเสนอหน้าบนเวที ให้คนที่มารู้ว่านี่คือเรื่องจริง พอพูดจบก็จะมีคนปรบมือให้ ซึ่งก็ไม่ใช่คนอื่นไกล แก๊งเสื้อดำเช่นเคย หลังจากนั้น ก็จะมีคนมาพูดถึงสรรพคุณผลิตภัตฑ์เทวดา ที่ทำให้เค้าเปเปลี่ยนตัวเอง จากอ้วนเป็นผอมได้ภายในไม่กี่เดือน ช่วงพักเที่ยงก็ปล่อยไปทานอาหาร แล้วมีการประกาศก่อนทานอาหารว่า จะมีการบอกแผนให้ว่า ทำอย่างไร คุณจะมีรายได้มากๆ เหมือนกับคนในรอบเช้าไปพูดบนเวที พอมารอบบ่าย ก็เปลี่ยนพิธีกร หมอนี่พูดเก่งมากแบบสุดๆ น่าจะเป็นนักพูดดีกว่า แต่เดาว่า หมอนี่คงได้ตังค์เยอะสุดๆ แผนงานของเค้ายังงงอยู่มาก จะพูดให้เราเข้าใจว่านี้ไม่ใช่งานขายตรง นี่ไม่ใช้ธุรกิจลูกโซ่ นี่ไม่ใช้ธุรกิจปิรมิด แน่นอน แล้วก็จะอธิบายต่าง ๆ นานา ว่าทำไมถึงไม่ใช่ แล้วก็พูดต่อไปว่า คุณมีโอกาสที่จะทำได้ อย่าให้ใครมาทำลายโอกาสของคุณ แม้ แต่พ่อแม่ของคุณเอง(สอนให้ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ครับ) คุณคงมีคำถามว่า ทำไมเค้าถึงพูดอย่างนั้น ก็ เพราะด่านแรกที่คุณจะเจอ ก็คือพ่อแม่ครับ เค้าต้องค้านคุณสุดชีวิต ทำไมหรอ ? ก็ เพราะว่า พ่อแม่คุณอาบน้ำร้อนมาก่อนคุณไง ธุรกิจแบบนี้เค้าย้อมต้องเจอมาก่อนคุณแน่นอนแล้วต้องรู้ว่า มันดีหรือไม่ดีครับ เมื่อคนนี้พูดจบ ก็จะมีวิทยากรที่รู้สึกจะมี แบล็คกาวเป็นหมอนะครับ ขึ้นมาพูดถึงวิธีสร้างรายได้เป็นหลักล้านอย่างที่เค้าได้ ย้ำ!!! เป็นหลังล้านนะครับ มันจาไม่ได้ได้ไงครับ ก็มันเป็นหมอนี่ครับ มันมีคนไข้ มันก็หลอกหล่อให้คนไข้ซื้อผลิตภัตฑ์ของมัน เรียกว่าใช้วิชาชีพให้เป็นประโยชน์ครับ แล้วมันก็ใช้เวลาไม่เกินปีขึ้นเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุด แล้วก็จะมาคุยว่า (มันจนอย่างโน้นจนอย่างนี้) เรียนหมอบ้าไรจนวะจน หลังจากนั้นก็จะมีไอ้ฟรั่งขึ้นมาพูดอีกรวมชั่วโมง เหมือน ๆ กันครับ คือมางานนี้เพื่อมาฟังความสำเร็จของพวกมันโดยเฉพาะครับ พอจบบรรยาย ก็เหมือนเดิมครับ มันจะให้แยกย่อยไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อฟังมันพูดต่ออีกร่วม 2 ชั่วโมงครับ การพูดก็จะหลอกล่อให้เราเข้าร่วมธุรกิจกับพวกมันให้ได้ครับ สาระไม่ค่อยมีจิง ๆ ทิ้งคำถามไว้อย่างมากมายเช่นเคย เมื่อคุณถามที่ปรึกษาคุณ เค้าจะบอกให้คุณมาในวันทัดไปครับ ที่ออฟฟิตเค้า ไม่ว่า คุณจะถามอย่างไรเค้าจะไม่ยอมบอกคุณเด็ดขาดครับ เพื่อให้คุณมาในวันทัดไป เสียค่ารถอีกแล้วตู เค้าจะให้คุณเข้าออพฟิตแทบทุกวันเลยครับ (ทำงานอิสระ เงินเดือนสูง มีเวลาให้ครอบครัว)
ผมจะอธิบายธุรกิจคนรวยประเภทนี้ให้ฟังแบบคราว ๆ นะครับ ทำไมถึงเรียกว่าธุรกิจคนรวย คือ มันจะเหมือนลูกโซ่ครับ เมื่อคุณเสียค่าสมัครเข้าเป็นสมาชิกในราคา 1 200 บาท ที่อาจจะดูว่า ไม่แพงเลย กับรายได้ เป็นหมื่นเป็นแสนต่อเดือน ยังไม่พอคุณต้องเสียค่าฝึกอบรมอีก ประมาณ 1 *** บาท ถ้าเกิดคุณอยากรู้สรรพคุณของผลิตภตฑ์เพื่อที่จะไปแนะนำลูกค้าของคุณ ได้(งงตรงที่พวกเราก็เป็นพนักงาน แต่เวลามีอบรมไรไม่เคยเสียเงินค่าอบรม) เมื่อคุณสมัครคุณจะมีสิทธิที่จะเลือกว่าอยากอยู่ในตำแหน่งไหน ที่จะซื้อสินค้าของเค้าได้ภายในส่วนลด 25 % ครับ เพื่อไปขายต่อกับอีกคนหนึ่งครับ ภายในราคาเต็ม คุณก็จะได้กำไร 25% จากตรงนั้นครับ เรียกว่าตำแหน่ง Distributor คือการค่าปลีกนั้นเอง อย่างที่สองคือการค้าส่งครับ คล้าย ๆ อย่างแรกครับ อย่างที่สาม เมื่อคุณทำ VP คือ Volume point ได้ถึง 4 000 vp หรือขายสินค้า 44 ชุด ภายในหนึ่งเดือนครับ รวม ๆ แล้วขายได้ 130 000 บาทครับ คุณจะได้เลื่อนขั้นเป็น Super visor ทันทีครับ แล้วคุณก็จะมีรายได้เข้ามาทั้งหมดสามทางครับ คือ 1.ขายตรง 2.ขายส่ง 3.จากค่าลิขสิทธิ์ครับ ค่าลิขสิทธิ์ก็คือการที่คุณหาลูกทีมของคุณเพิ่ม เพื่อเป็นฐานให้ให้คุณ กล่าวต่อไปเรื่อย ๆ เงินเดือนขึ้นเรื่อย ๆ ดันคุณให้ถึงจุดยอดของธุรกิจครับ ฟังแล้วสนุก แต่ว่า คุณจะทำใงให้คุณมีคะแนนสะสมครบ 4 000 vp เพื่อจะได้เป็น Super visor คุณต้องขายสินค้าให้ได้ถึง 44 ชุดเชียวนะ แล้วชุดนึงก็ไม่ใช่บาทสองบาท ทางเดียวเท่านั้นและรวดเร็วที่สุดคือ คุณต้องลงทุนซี้อสินค้านั้นมาเก็บไว้เอง ในราคารวมทั้งหมด 130 000 กว่าบาท สินค้าก็จะไปกองอยู่ที่บ้านคุณทันที 44 ชุด ถ้าคุณอยากเลือนขั้นเร็วครับ วิธีนี้ไอ้พวกแก๊งสูทดำมันแนะนำมากเลยครับ ทำไมหรอ ก็มันได้ค่า Bonus ของมันไม่รู้เท่าไหรนะสิครับ ไม่ต่างไรกับเอาเงินซื้อตำแหน่งเท่าไรนักครับ วิธีนี้แนะนำสำหรับคนมีเงินครับ วิธีที่สอง ไม่ต้องลงทุน แต่ต้องลงแรงและเวลาครับ คุณต้องหาลูกค้าเพื่อขายสินค้าให้ได้ 44 ชุดภายใน 1 เดือน นะตอนนั้นคุณคงดำรงตำแหน่ง Destributor คือต่ำแหน่งล่างสุด จาเรียกว่า Saleman ก็ไม่ผิดเท่าไหรนักครับ เพราะคุณต้องเหนือยค่อยหาลูกค้า แต่สบายตรงที่ คุณอาจจะได้ลูกค้าทางอินเตอร์เน็ตที่บอกว่าทำงานอยู่ที่บ้านก็ไม่ผิด นั้นคือลูกค้าวิ่งหาเราเองไงครับ คุณแค่เหนือยโทรค่อยหาลูกค้าต่าง ๆ นานา ใช้กลยุทธ์โน้มน้ามจิตใจให้ลูกค้าซื้อผลิตภัตฑ์เราให้ได้ ไม่ต่างกับ Saleman. ใช่ไหมครับ แค่ไม่ต้องเดินเคาะประตูตามบ้านเท่านั้นเอง
แต่คนที่แนะนำคุณมักจะบอกคุณว่า ไม่ใช่ Saleman ไม่ใช่ขายตรง คุณก็คงงงเหมือนพวกเรา ก็ในเมื่อ เริ่มแรก คุณต้องขายสินค้าก่อนนี่นา กว่าคุณจะได้เป็น Sup คุณก็ต้องเหนือยขายแทบหลังอานแล้ว สินค้า แต่ละตัวไม่ได้ขายกันง่าย ๆ อย่างที่คิดนะคร๊าบบบบ กว่าจะได้ แต่ละชิ้นเนื่อตาแทบกระเด็น แล้วสินค้าตัวนี้เริ่มกระจายไปทั่ว ตอนนี้ที่รู้มา ร้านขายยาทั่วไปก็เริ่มมีขายแล้ว แล้วขายได้ในส่วนลด 35 % ซึ่งถูกกว่าคุณ ที่คุณจะขายได้ในสวนลดแค่ 25% เท่านั้นเอง ยังไม่พอ คุณยังต้องเจอกับพวกที่เค้าได้เป็น Sup ไปแล้ว ขายสินค้าได้ในสวนลดถึง 50% ซึ้งถูกกว่าคุณและร้านขายยาทั่วไปเสียอีก ยังไม่พอ ธุรกิจนี้เปิดตัวมาได้ 9 ปีในประเทศไทย 29 ปีในต่างประเทศ คุณคิดว่า คนที่ทำธุรกิจแบบคุณมีสักกี่คน ผมตีให้คราว ๆ ตำแหน่ง Sup ตอนนี้อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 5 000 คนแน่นอนครับ แล้วกระจายไปทั่ว คุณมีคู่แข่งเยอะมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เพราะว่า คุณเข้าร่วมทำธุรกิจแบบนี้ช้าเกินไป ที่นี้คุณจะทำไงละ ให้ขายได้เพื่อที่จะเป็น sup ไว ๆ เพราะแหม มันกดดันเหลือเกิน ขายก็ขายยากอยู่แล้ว เพราะมันแพง แถมมีคนขายได้ถูกกว่าคุณเสียอีก ผลสุดท้ายครับ คุณต้องลงทุนเป็นแสนบาทกู้ธนาคารหรือยืมคนไกล้ตัว เพื่อเอาเงินมายัดแล้วเอาสินค้า 44 ชุดมาเก็บตุนไว้ที่บ้านก่อน เพื่อที่จะปล่อยออกที่หลัง(เป็นหนี้เค้าอีกแล้วตู) ทำไมต้องทำเช่นนั้น ในเมื่อเห็นผลแบบนี้ ก็เลิกทำดีกว่า ทำไมนะหรือ ความโลภ ไม่เข้าใครออกใครครับ คุณเห็นเพื่อนของคุณคนที่แนะนำคุณ แหมรายได้เดือนละเป็นแสน ทำไมตูจะทำไม่ได้ โอ๊ย!!!! ต้อง แต่เริ่มเข้ามาฟังบรรยาย เสียเงินมาเท่าไหรแล้วเนี้ย (ผมอยากให้คุณถามเค้าก่อนว่า ก่อนที่คุณจะได้เป็นหมื่นเป็นแสน คุณหมดไปเท่าไหรแล้วครับ ผมว่า เค้าจะพูดไม่ออกทันทีครับ)
เมื่อคุณได้เป็น Super visor สมใจ อย่างแรกที่คุณจะต้องทำคือการหาลูกทีมของคุณต่อ เพื่อที่คุณจะได้เก็บค่าลิขสิทธิ์ของเค้า เมื่อเค้าขายได้ คุณจะได้เปอร์เซ็นต์จากเค้าทันที แล้วเราจาหาลูกทีมยังไงหว่า วิธีแรกคนรู้จักครับ วิธีที่สอง คุณต้องเสียค่าเบนเนอร์ที่แปะอยู่ตามเว็บดังต่าง ๆ ยกตัวอย่าง หนึ่งหมืนบาท คุณจะได้ รับอีเมล์ 100 รายชื่อต่อเดือน สองหมื่น ได้รับ 200 รายชื่อต่อเดือน โอ!!! เสียเงินอีกแล้วแม่เจ้า แล้วทางบริษัทไปเอารายชื่อเมล์จากไหนมาเยอะแยะมากมายขนาดนี้ละ คุณลองทบทวนความจำนิดนึงต้อง แต่คุณเริ่มสนใจในธุรกิจที่รายได้เดือนละเป็นหมื่นเป็นแสน คุณก็คลิกเข้าตามแบนเนอร์ที่คุณสนใจแล้วกลอกข้อมูล Submit เข้ามาต้อง แต่แรกยังไงละครับ มันวนเวียนแบบนี้เป็นวัฎจักรครับ คนต่อไปเข้ามาทำงานเค้าก็จะเหมือนคุณตอนแรกทุกอย่าง แล้วสินค้าที่เก็บอยู่ในสต็อคที่บ้านคุณละ 44 ชุดนั่น ทำไงดี ขายไม่ออก วิธีเดียวและง่ายที่สุด ก็คือ เมื่อคุณได้เยื่อแบบคุณทางอีเมล์ที่คุณติดต่อให้มาประชุมแล้ว ก็เสียเงินค่าประชุด 550 บาท เงินค่าประชุดเป็นแสนเป็นล้านต่อเดือน เมื่อเค้าสนใจที่จะเป็น super visor คุณก็ขายสินค้าของคุณให้กับเค้าอีกทีหนึ่ง เพื่อให้เค้าได้เป็นสมใจ แล้วเค้าจะทำไงละ สินค้าเพียบเต็มบ้าน ก็หลอกขายคนต่อไปเรื่อย ๆ ยังไงละครับ (ทำนาบนหลังคนชัด ๆ ครับ ท่าน) แล้วมันก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ครับ เป็นลูกโซ่ทองนั่งเอง สินค้าไม่ได้ขายได้ครับ แต่คน ๆ ต่อ ๆ ไปก็จะรับซื้อเพื่อจะได้เลือนต่ำแหน่งเท่านั้นเองครับ แล้วไอ้คนที่รวยที่สุดคือใครครับ ก็ไอ้คนที่มันอยู่ยอดสุดไงละครับ (ยอดปิระมิด) ได้เดือนนึงไม่รู้เท่าไหน ทั้งที่เราต้องมาหาเงินหรือทำยอดเพื่อให้ได้เป็น sup พวกมันก็นอนตีพุงอยู่บ้านสบายใจรับเงินทุก ๆ เดือนครับ
พวกเราอยากให้ท่านผู้อ่านเป็นแง้คิดนิดนึงว่า มีงานไหนได้เงินมาง่าย ๆ ถ้าไม่ผิดกฎหมายบ้างครับ แต่ผมก็ไม่ได้ว่า ธุรกิจแบบนี้มันผิดนะครับ แต่คนที่ได้เงินเยอะ ๆ มันต้องเหนือยมาก ๆ ก่อนในตอนแรก และสบายในตอนท้านครับ เหมือนธุรกิจที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ มันก็ดี เมื่อคุณได้เป็นตำแหน่งสูง ๆ แล้วเท่านั้นครับ มันถึงจะดีและไม่ต้องขายอีก แค่พัฒนาทีมของคุณเพื่อใช้งานให้เค้าขายของ เหมือน Seven eleven ครับ แต่คุณต้องเหนือยตอนแรกแน่นอน เหนื่อยขายเพื่ออัพตำแหน่ง เหนื่อยค่อยสอนอบรมลูกทีมทุก ๆ วันที่ออพฟิต งานประจำก็เหนือยอยู่แล้ว ยังต้องเดินทางไปออพฟิตอีก แถมยังเป็นหนี้เพื่อนกลับธนาคารที่ยังใช้ไม่หมดอีก เพราะยังไม่คุ้มทุนเลย ลูกทีมก็ไม่ใช้จะหาได้ง่าย ๆ อีกหน่อยคุณเดินไปตามถนนหนทาง หรือรับอีเมล์ ถามว่า จะคุณจะทำธุรกิจกับเราไหม เค้าก็จะตอบว่า ผมก็ทำอยู่ คุณคิดดูสิทำกันทั้งกรุงเทพ แล้วคุณจะไปหาฐานเพื่อถีบคุณขึ้นไปสู่ยอดปิรมิดมาจากไหนละครับ ต่างจังหวัดก็คงจะไม่ใช้เป้าหมายเท่าไหรนักเนื่องจากการเดินทางต่าง ๆ นานา ธุรกิจแบบนี้มักเจาะกลุ่มพวกนักเรียนนักศึกษาครับ เพราะไม่มีประสบการณ์ หลอกง่ายดี ไรก็เชื่อไปหมด เหมือนกับไม่มีศิลธรรมเลยครับ หลอกแม้กระทั่งเด็กตาดำ ๆ
สุดท้ายนะครับ ธุรกิจแบบนี้มีสองอย่างให้คุณเลือกที่จะทำ คือหลอกคนอื่นคุณสบาย หรือไม่ก็เหนื่อยจนรากเลือดก่อนแล้วถึงสบายครับ ธุรกิจแบบนี้เค้าไม่ได้หลอกคุณหลอกครับ แต่เค้าปิดบังความจิงแล้วค่อย ๆ ให้คุณรู้ที่หลังจนคุณถอนตัวไม่ขึ้นนั่นเองครับ
แหมเขียนได้ละเอียดครอบคลุม ประสบการณ์จริงที่ตัวผมก็ได้รับมา
ที่จริงก็เป็นธุรกิจ MLM นั่นแหละ เพียง แต่วิธีการที่เขาแนะ เพื่อก้าวไปสู่ระดับรายได้สูง มันเป็นการลัดขั้นตอนกันไปหน่อย เลยทำให้ต้องรู้สึกเหมือนว่า เสียเงินเยอะ เสียรู้ หรือ ถูกหลอกนั่นเอง ถ้าหากทำกันอย่างถูกวิธี ต้องค่อยๆ เติบโต หาสมาชิกเพิ่ม แนะนำสินค้า หรือระบบการทำธุรกิจที่แตกต่างไปจาก ธุรกิจทั่วไปให้บุคคลทั่วไปเข้าใจก่อน
แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่ว่า
1.สินค้าราคาแพงเกินไป กว่าระดับคนชั้นกลาง จะซื้อหาใช้เป็นประจำ
2.หาสมาชิกยาก เพราะ ข้อ1. เป็นตัวกำหนด เขาสมัครมา แค่จะซื้อใช้เองก็ยังรู้สึกว่า แพงเลย แล้วจะไปขายต่อให้ใครได้
3.มีกฏระเบียบสกัดกั้นการขาย ห้ามการโฆษณา วางสินค้า ขายให้แก่คนทั่วไป กระทำได้เฉพาะตัวต่อตัว เหมือนต้องแอบๆ ขาย คล้ายสินค้าหนีภาษี ผิดกฏหมาย ไม่สามารถโชว์ให้ ลูกค้า หรือใครๆ ดูอย่างภาคภูมิใจได้
4.ตัวสินค้าเองไม่ได้มีคุณภาพเลอเลิศ ดังที่กล่าวอ้าง ในปัจจุบันสามารถหาสินค้าลักษณะนี้ได้ราคาถูกกว่ามาก
5.พอขายยาก ก็เข้าสู่ตามกฏเกณฑ์การตลาดเสรี คือมีการขายตัดราคาแข่งกัน ใครลดได้มากกว่า ก็จะมีโอกาสขายได้มากกว่า แต่อย่าลืมว่า ต้องสำหรับลูกค้าที่ใช้สินค้าตัวนี้เป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ใช่ลูกค้าใหม่ เพราะเขาเองก็จะตรวจสอบราคาจากที่ต่างๆ เหมือนกันว่า ที่ไหนถูกกว่าก็ซื้อที่นั่น สำหรับคนที่ซื้อมาทำตำแหน่ง (ซื้อตุน) ก็จะต้องระบายของออก อย่างน้อยขอให้ได้ทุนคืนมาก็พอ เพราะจ่ายไปเป็นแสนบาทแล้ว ถ้าไม่ลดราคาก็ขายไม่ได้ พอขายออกไป ก็โดนผู้ขายรายอื่นโทรมาด่า ไม่นาน ทางบริษัทเองก็โทรมาขู่จะระงับหมายเลขสมาชิกอีก ขายราคาปกติก็ขายไม่ได้ ลดราคาก็ห้ามขาย ท้ายสุดสินค้าเรือนแสนบาทก็ต้องมีอัน ค้างอยู่ที่บ้าน จนหมดอายุ ทิ้งลงไป
6.ทางกลุ่มพวกเขาอาจบอกว่า ทำไม่ไม่ปรึกษาหัวหน้าคุณ คือคนที่แนะนำคุณเข้าสู่ระบบ พอไปถามเขา เขาก็แนะนำให้ใช้วิธีเดียวกับที่เขาทำกับคุณ คือ ให้แนะนำคนมาฟัง ก็ในเมื่อคุณเองยังไม่สามารถช่วยตัวเอง ขายเองได้เลย แล้วจะไปแนะนำให้เขามาฟังอะไร
สรุปแล้ว สิ่งที่คนแนะนำเราว่า ทำแล้วรวย มาฟัง มาอบรมแล้วรวย เพิ่มรายได้ นั้น ที่จริงเป็นการเพิ่มรายได้ของเขา มาฟังอบรมแล้วพวกเขารวย ไม่ใช่คุณ ครับ เพราะไปฟังก็แค่นั่งฟังคนอวดอ้างว่า ตัวเองรวยประสบความสำเร็จ เหมือนกับไปนั่งฟังคนรวยเขาคุยแข่งกัน แต่ไม่ได้บอกเลยว่า ต้องทำอย่างไร หรือมีรายได้จริงๆ แค่ไหน เขาจะอุบไว้ เพราะต้องการเปิดช่องไว้ให้คุณเพียงอย่างเดียวว่า คุณต้องสมัครสมาชิก เริ่มซื้อของเขาก่อน แล้วนำสินค้าไปทดลองใช้ และแนะนำหาสมาชิกต่อไป ก่อน พวกเขารวยก็ขึ้น ยิ่งไปฟัง ก็ยิ่งเสียเงิน
ผมเคยอยากตีสนิทเป็นพวกเดียวกัน พวกใสสูทสีดำนี่แหละ กลับมองผมด้วยสายตา ว่าผมเหมือนสิ่งแปลกปลอม ไวรัส สปายแวร์ ที่จะเข้าไปแทรกซึมพวกเขา เขาจะไม่ยอมคุยด้วย วางท่าเหมือน ครูผู้ปกครอง เหมือนผู้คุม เหมือนรักษาความปลอดภัย ที่มีกฏว่า ห้ามคุย ทำตัวคุ้นเคย เป็นกันเองกับคนอื่น เพราะจะเสียระบบการปกครองไป
ผมรู้สึกว่า ที่ๆ นั่น ไม่ใช่ที่ของผมเลย ทางออกมีอย่างเดียวคือ จ่ายเงินไป และหาคนอื่นมาร่วมด้วย เพื่อให้พวกเขารวยขึ้นไปอีก
Friday, August 10, 2007
တ႐ုတ္ရာဘာ၀ယ္ယူသူမ်ားသည္ထုိင္းႏုိင္ငံမွ၀ယ္ယူဖြယ္ရ
တ႐ုတ္ႏုိင္ငံသည္ အင္ဒုိနီးရွားႏုိင္ငံမွ တာယာမ်ားျပဳလုပ္ရန္ အဆင့္မီရာဘာမ်ားႏွစ္ၿခိဳက္စြာ ၀ယ္ယူ ေနေသာ္လည္း ေစ်းႏႈန္းသိသာစြာက်ဆင္းေနေသာ ထုိင္းႏုိင္ငံမွ၀ယ္ယူရန္ စုိင္းျပင္းေနၾကသည္။
Source: dailytimes.com.pk ->www.commerce.gov.mm ရီရီ၀င္း
ထုိင္းႏိုင္ငံမွRSS-3 ရာဘာအမ်ဳိးအစားေစ်းႏႈန္းမွာ လြန္ခဲ့ေသာ ႏွစ္ပတ္အတြင္း ၇ ရာခုိင္ႏႈန္း၀န္းက်င္သုိ႔ က်ဆင္းသြားၿပီး ဇူလုိင္လကုန္တြင္ တစ္တန္လွ်င္ US$ 2020ရွိခဲ့ပါသည္။ အင္ဒုိနီးရွားႏုိင္ငံမွ SIR-20 ရာဘာ အမ်ဳိးအစား တစ္တန္လွ်င္US$ 1960- US$ 1980 color:black'>ေစ်းႏႈန္းျဖင့္ ၀ယ္ယူရရွိေနေသာ္လည္း တရုတ္ရာ ဘာ၀ယ္ယူသူမ်ားသည္ ထုိင္းႏုိင္ငံမွ၀ယ္ယူရန္ စိတ္၀င္စားေနၾကေၾကာင္း၊ ၃-၈-၀၇ ေန႔တြင္ အင္ဒုိနီးရွားႏိုင္ငံမွ SIR-20ရာဘာ အမ်ဳိးအစား မ်ားမွာစက္တင္ဘာသေဘၤာတင္ ကာလအတြက္ တစ္တန္လွ်င္ US$ 1939ေစ်းျဖင့္ အေရာင္းအ၀ယ္ျဖစ္ခဲ့ေၾကာင္း သိရွိရပါသည္။ အင္ဒုိနီးရွားႏိုင္ငံ ဆူမတ္ၾတားကြၽန္းမွ Riauျပည္နယ္ၿမိဳ႕ေတာ္ Pekanbaru မွ ရာဘာေရာင္း၀ယ္သူ တစ္ဦးကေျပာၾကားသည္မွာ တ႐ုတ္တုိ႔သည္ အင္ဒုိနီးရွားမွ ရာဘာကုိ ၀ယ္ယူေနေသာ္လည္း ေစ်းႏႈန္းကုိႏႈိင္းယွဥ္ လာၾကေၾကာင္း၊ ထုိင္းႏိုင္ငံတြင္ေစ်း ႏႈန္းက်လာသည္က တစ္ေၾကာင္း၊ သေဘၤာတင္ခပုိသက္သာေသာေၾကာင့္ တစ္ေၾကာင္း၊ ထုိင္းႏိုင္ငံမွ ၀ယ္ယူလုိေနၾကေၾကာင္း သိရွိရပါသည္။ ဘန္ေကာက္ႏွင့္ရွန္ဟုိင္း (သို႔) ကြမ္ဒုိ (Qindo) ဆိပ္ကမ္းထိ သေဘၤာခမွာ ကြန္တိန္နာ တစ္လုံးလွ်င္ US$ 400 ရွိၿပီး ဆူမတ္ၾတားကြၽန္း၊ ဘာလာ၀မ္ (သို႔) Pelenbarig ဆိပ္ကမ္းမွ ကြန္တိန္နာ တစ္လုံးလွ်င္ US$ -650ရွိေၾကာင္း၊ ထုိင္းႏိုင္ငံမွ STR - 20 ရာဘာအမ်ဳိး အစားကုိ ဇူလုိင္လေနာက္ဆုံးပတ္က တစ္တန္လွ်င္ US$ -1970 (FOB) ျဖင့္တ႐ုတ္သုိ႔ေရာင္းခ်ခဲ့ေၾကာင္း ထုိင္းႏုိင္ငံရာ ဘာေရာင္းခ်သူမ်ားသည္ ေရရွည္ထိန္းသိမ္းမထားခ်င္သည့္အတြက္ ယခုေစ်းႏႈန္းျဖင့္ပင္ ေရာင္းခ်ဖြယ္ ရွိေၾကာင္း၊ အခ်ိဳ႕မွာ တစ္တန္လွ်င္ US$ ၂၀၀၀ ေစ်းသတ္မွတ္ေၾကာင္း၊ ထိုင္းႏိုင္ငံေတာင္ပိုင္းမွ ေရာင္းသူတစ္ဦးက ေျပာၾကားပါသည္။ တ႐ုတ္ႏိုင္ငံသည္ ၂၀၀၇ ခုႏွစ္တြင္ သဘာ၀ရာဘာ တန္ခ်ိန္ ၁ ဒႆမ ၇၅ သန္း တင္သြင္းမည္ ေမွ်ာ္လင့္ ေၾကာင္း၊ ၂၀၀၆ ခုႏွစ္က တင္သြင္းခဲ့မႈမွာ တန္ခ်ိန္ ၁ ဒႆမ ၆၁ သန္းသာရွိခဲ့ေၾကာင္း တ႐ုတ္ရာဘာစက္မႈ လုပ္ငန္းအသင္းဥကၠ႒က ေျပာၾကားေၾကာင္း သိရွိရပါသည္။
Labels: စီးပြား၊ကုန္သြယ္, စုိက္ပ်ဳိးေရး
ျမန္မာႏွင့္ ထုိင္းႏုိင္ငံတို႔သည္ နယ္စပ္တစ္ေလွ်ာက္ လက္ကားေစ်းကြက္မ်ား တည္ေဆာက္ရန္စီမံကိန္းခ်မွတ္
Ref Source: xinhua -> Ministry of Commerce MM, ႏုႏုခိုင္
ျမန္မာႏိုင္ငံႏွင့္ ထုိင္းႏုိင္ငံတို႔သည္ ယခုႏွစ္ေႏွာင္းပိုင္းတြင္ ႏွစ္ႏုိင္ငံနယ္စပ္တစ္ေလွ်ာက္ကုန္သြယ္မႈ တိုးျမႇင့္ရန္အတြက္ လက္ကားေစ်းကြက္ ၁၀ ခုကို မတည္ဖြင့္လွစ္ရန္ ေဆာင္ရြက္ခဲ့ေၾကာင္း၊ ၎စီမံကိန္းကို ၂၀၀၄ ခုႏွစ္ တြင္ ထိုင္းႏုိင္ငံက ပထမဦးစြာ စတင္အဆိုျပဳေတာင္းဆိုခဲ့ၿပီး၊ တည္ေဆာက္မႈအပိုင္းအေနျဖင့္ ျမန္မာဘက္တြင္ လက္ကား ေစ်းကြက္ ၄ ခုတည္ေထာင္မည္ျဖစ္ၿပီး၊ ထုိင္းဘက္တြင္ လက္ကားေစ်းကြက္ ၆ ခုတည္ေဆာက္ မည္ျဖစ္ေၾကာင္းႏွင့္ ႏွစ္ႏုိင္ငံစလံုး၏ ပို႔ကုန္ကုန္ပစၥည္းမ်ားကို ေရာင္းခ်ရန္ ျဖစ္ပါသည္။
ျမန္မာဘက္ရွိ လက္ကားေစ်းကြက္ ၄ ခုမွာ ရွမ္းျပည္နယ္ အေရွ႕ပိုင္းတာခ်ီလိတ္၊ ကရင္ျပည္နယ္ အေရွ႕ ေတာင္ပိုင္းရွိ ျမ၀တီ၊ တနသၤာရီေတာင္ပိုင္းရွိ ၿမိတ္ႏွင့္ ေကာ့ေသာင္း တို႔ျဖစ္ေၾကာင္း၊ ထုိင္းဘက္ရွိ လက္ကား ေစ်းကြက္ ၆ ခုမွာ ခ်င္းမိုင္Takခ႐ိုင္ႏွင့္ ဳKanchanaburiျပည္နယ္မ်ားရွိ အခ်ဳိ႕ၿမိဳ႕မ်ားျဖစ္ေၾကာင္း၊ ေစ်းကြက္ မ်ား တည္ေဆာက္ရျခင္း၏ ရည္႐ြယ္ခ်က္မွာ ျမန္မာႏွင့္ ထုိင္းႏွစ္ႏုိင္ငံအၾကားသာမက ေဒသဆုိင္ရာ အလိုက္ ကေမၻာဒီးယား၊ လာအုိတို႔ႏွင့္လည္းေကာင္း၊ ဗီယက္နမ္ႏွင့္ ျမန္မာႏုိင္ငံတို႕အၾကား၌ လည္း ေကာင္း ကုန္သြယ္မႈတိုးျမႇင့္ေစ ရန္ျဖစ္ေၾကာင္း ေဖာ္ျပပါရွိပါသည္။
Thursday, August 9, 2007
Snapshot of နယ္စပ္ကုန္သြယ္ေရး ၂၀၀၇
Ref : Weekly Eleven Aug 1 2007
၂၀၀၇ ခုႎႀစ္ ပထမေလးလပတ္ သည္ ၂၀၀၆ ခုႎႀစ္ ပထမေလးလ ပတ္ႎႀင့္ ႎိႁင္းယႀဥ္ပၝက နယ္စပ္ ကုန္ သၾယ္မႁပမာဏ အေမရိကန္ေဒၞလာ ၁၆၂ ဒသမ ၆၄၁ သန္းပုိေငၾဴပခဲ့ ေဳကာင္းစီးပၾားေရးႎႀင့္ကူးသန္းေရာင္း ဝယ္ေရးဝန္႒ကီးဌာနမႀရရႀိထားေသာ သတင္းမဵားအရ သိရႀိရသည္။
ယင္းကဲ့သုိႛ ကုန္သၾယ္မႁပမာဏ ပုိေငၾဴပခဲ့ဴခင္းမႀာ မူဆယ္နယ္စပ္တၾင္ ငၝးရႀဥ့္၊ ကဏန္းႎႀင့္ အဴခားေရထၾက္ ပစၤည္းမဵားအား လိုင္စင္စနစ္ဴဖင့္ ေရာင္းခဵခဲ့႓ပီး ေဈးပုိမိုရရႀိဴခင္း၊ ေဴပာင္းဖူးေစ့၊ ႎႀမ္း၊ ဖရဲသီး၊ ဳကက္ ဆူေစ့ႎႀင့္ ႒ကိမ္မဵားအား ပုိမိုတင္ပုိႛႎုိင္ ဴခင္းသည္လည္းအေဳကာင္းရင္းတစ္ရပ္ ဴဖစ္ေဳကာင္းသိရႀိရသည္။ အလားတူပင္ လၾယ္ဂဵယ္နယ္ စပ္စခန္းတၾင္ သီဟုိဠ္ေစ့၊ ႒ကိမ္ႎႀင့္ ဳကံတိုႛအား ပိုမိုတင္ပုိႛႎိုင္ခဲ့ဴခင္း၊ ခဵင္း ေရၿေဟာ္နယ္စပ္ကုန္သၾယ္ေရးစခန္း တၾင္ ေရာ္ဘာပုိႛကုန္မဵား စမ္းသပ္ တင္ပုိႛမႁရႀိလာဴခင္း၊ သစ္ေတာထၾက္ ပစၤည္းဴဖစ္ေသာ ခဵိပ္၊ ေရာ္ဘာ၊ ေဴပာင္းဖူးေစ့၊ သစ္ဳကံပုိးေခၝက္ႎႀင့္ သရက္သီးမဵား ပုိမိုတင္ပုိႛႎုိင္ဴခင္း တိုႛေဳကာင့္ဴဖစ္ေဳကာင္း သိရႀိရသည္။ ``ထုိင္းနယ္စပ္မႀာရႀိတဲ့ တာခဵီ လိတ္၊ ဴမ၀တီ၊ ေကာ့ေသာင္းနဲႛ ႓မိတ္ နယ္စပ္ကုန္သၾယ္ေရးစခန္းေတၾမႀာ ၂၀၀၇ ခုႎႀစ္၊ ပထမေလးလပတ္မႀာ ပုိႛကုန္အေမရိကန္ေဒၞလာ ၅၇သန္း၊ သၾင္းကုန္အေနႎႀင့္ အေမရိကန္ ေဒၞလာ ၃၁ သန္း၊ စုစုေပၝင္းကုန္ သၾယ္မႁပမာဏ အေမရိကန္ေဒၞလာ ၈၈ သန္းအထိ ရရႀိခဲ့ပၝတယ္။ ယခင္ ၂၀၀၆ ခုႎႀစ္ရဲႚ အလားတူကာလမႀာ ကုန္သၾယ္မႁပမာဏဟာ အေမရိကန္ ေဒၞလာ ၅၈သန္းသာရရႀိတဲ့အတၾက္ ဒီႎႀစ္မႀာ ထုိင္း-ဴမန္မာနယ္စပ္ ကုန္ သၾယ္မႁဟာ အရင္ႎႀစ္ကထက္ သန္း ၃၀ ပုိေငၾဴပခဲ့ပၝတယ္´´ဟု စီးပၾားေရး ႎႀင့္ကူးသန္းေရာင္းဝယ္ေရး ဝန္႒ကီး ဌာနမႀတာဝန္ရႀိသူတစ္ဦးက ေဴပာ ဳကားခဲ့သည္။ အလားတူပင္ ေကာ့ေသာင္း နယ္စပ္ကုန္သၾယ္ေရးစခန္းတၾင္ အဓိကပုိႛကုန္ပစၤည္းမဵားဴဖစ္ေသာ ငၝးမဵႂိးစံု၊ ကဏန္း၊ ပုစၾန္တုိႛအဴပင္ အဴခားေရထၾက္ပစၤည္း၊ ငၝးဆား နယ္၊ ငၝးစည္ေဖာင္းတိုႛ ပုိမိုတင္ပုိႛ ႎုိင္ဴခင္း၊ ႓မိတ္ နယ္စပ္တၾင္လည္း ေရထၾက္ပစၤည္း မဵားတင္ပုိႛႎုိင္ဴခင္း ေဳကာင့္ဴဖစ္ေဳကာင္းသိရသည္။ ``ဴမန္မာ-ဘဂႆလားေဒ့ရႀ္နယ္ စပ္မႀာရႀိတဲ့ စစ္ေတၾနဲႛ ေမာင္ေတာ နယ္စပ္ကုန္သၾယ္ေရးစခန္းေတၾဟာ ၂၀၀၇ ခုႎႀစ္ ပထမေလးလပတ္မႀာ ပုိႛကုန္တန္ဖိုးအေမရိကန္ေဒၞလာ ၈ ဒသမ ၃ သန္းခန္ႛနဲႛ သၾင္းကုန္တန္ ဖိုးေဒၞလာ ၀ ဒသမ ၂၅ သန္းခန္ႛ ရႀိ႓ပီး ၈ ဒသမ ၅သန္းဖုိးကုန္သၾယ္မႁ ဴပႂႎုိင္ခဲ့ပၝတယ္။ အရင္ႎႀစ္ကုန္သၾယ္ မႁပမာဏက ၆ ဒသမ ၇ သန္းရႀိခဲ့တဲ့ အတၾက္အေမရိကန္ေဒၞလာ ၁ ဒသမ ၈ သန္းေကဵာ္ဖိုး ေဆာင္ရၾက္ႎုိင္ခဲ့ပၝ တယ္´´ဟု အဆိုပၝတာဝန္ရႀိသူက ေဴပာဳကားခဲ့သည္။ ဴမန္မာ-အိႎၬိယနယ္စပ္ တမူး ႎႀင့္ရိဒ္နယ္စပ္ကုန္သၾယ္ေရးစခန္းမဵား သည္ ၂၀၀၇ ခုႎႀစ္ ပထမေလးလပတ္ တၾင္ပုိႛကုန္ အေမရိကန္ေဒၞလာ ၃ ဒသမ ၅ သန္းေကဵာ္ႎႀင့္ သၾင္းကုန္ ၁ ဒသမ ၅ သန္းစုစုေပၝင္းကုန္သၾယ္ မႁေဒၞလာ ၅ သန္း ေဆာင္ရၾက္ႎုိင္ခဲ့ သဴဖင့္ ယမန္ႎႀစ္ကုန္သၾယ္မႁ ပမာဏ ၅ ဒသမ ၆ သန္းထက္ ၀ ဒသမ ၆ သန္းေလဵာ့နည္းခဲ့ေဳကာင္းသိရသည္။
Labels: စီးပြား၊ကုန္သြယ္
ျမန္မာ-ထုိင္းကုန္သြယ္ေရး
ဴမန္မာႎုိင္ငံအတၾက္မူ ထုိင္း ႎုိင္ငံသည္ အဓိကကုန္သၾယ္ဖက္ ႎုိင္ငံတစ္ႎုိင္ငံဴဖစ္႓ပီး ၂၀၀၅-၂၀၀၆ ဘၸာႎႀစ္တၾင္ ကုန္သၾယ္မႁ ပမာဏ ၁ ဒသမ ၅၉၆ ဘီလီယံ ရႀိခဲ့ကာ ဴမန္မာႎုိင္ငံ၏သၾင္းကုန္ ပမာဏမႀာ ၂၃၇ သန္းရႀိခဲ့႓ပီး ထုိင္း ႎုိင္ငံသိုႛ ၁ ဒသမ ၃၅၉ ဘီလီယံ ဖိုး တင္ပိုႛႎိုင္ခဲ့သည္။ Ref : Weekly Eleven
ဴမန္မာႎုိင္ငံ၏ အဓိကပုိႛကုန္ မဵားမႀာသဘာ၀ဓာတ္ေငၾႚ၊ သစ္ ေတာထၾက္ပစၤည္း၊ ပဲမဵႂိးစံု၊ ေရ ထၾက္ ကုန္၊ ဆန္၊ အဝတ္ အထည္၊ ေကဵာက္စိမ္းႎႀင့္ ေကဵာက္မဵက္ရ တနာမဵားဴဖစ္ကာအဓိကသၾင္းကုန္ မဵားမႀာ ဖိုက္ဘာ၊ ဓာတ္ဆီ၊ ဓာတ္ ေဴမဩဇာ၊ ပလတ္စတစ္၊ စက္ပစၤည္း၊ ပုိႛေဆာင္ေရးလုပ္ငန္းသံုးပစၤည္း၊ ဘိ လပ္ေဴမ၊ ေဆာက္လုပ္ေရး ပစၤည္း၊ ေရနံ၊ စားေသာက္ကုန္ႎႀင့္ စားသံုးဆီ တုိႛဴဖစ္ေဳကာင္းသိရသည္။ အဓိကကုန္ သၾယ္ဖက္ႎုိင္ငံ မဵားမႀာ ထိုင္းႎုိင္ငံ၊ တရုတ္၊ စင္ကာ ပူႎႀင့္ မေလးရႀားႎုိင္ငံမဵားဴဖစ္႓ပီး ၂၀၀၆ ခုႎႀစ္တၾင္ ထိုင္းႎိုင္ငံမႀ ဴမန္မာ ႎုိင္ငံသုိႛတင္ပုိႛမႁပမာဏမႀာအေမရိကန္ ေဒၞလာ ၇၅၅ ဒသမ ၃ မီလီယံရႀိ ခဲ့႓ပီးဴမန္မာႎုိင္ငံမႀ တင္သၾင္းမႁပမာ ဏမႀာအေမရိကန္ ေဒၞလာ ၂ ဒသမ ၃၂ ဘီလီယံရႀိခဲ့ ေဳကာင္းသိရသည္။ ထိုင္းမႀဴမန္မာသိုႛ တင္ပိုႛရန္အ လားအလာေကာင္းေသာ ကုန္စည္ မဵားမႀာ ေရနံ(သန္ႛစင္႓ပီး)၊ ဓာတု ပစၤည္းမဵား၊ အေဖဵာ္ယမကာ၊ သံမ ဏိႎႀင့္ ေရာ္ဘာထုတ္ကုန္မဵား ဴဖစ္ ႓ပီးဴမန္မာႎုိင္ငံအေနႎႀင့္မူ သဘာ၀ ဓာတ္ေငၾႚ ႎႀင့္ေရထၾက္ကုန္မဵားမႀာ အလားအလာအေကာင္းဆံုးပစၤည္း မဵားဴဖစ္ေနေဳကာင္းသိရႀိရသည္။
Labels: စီးပြား၊ကုန္သြယ္
Wednesday, August 8, 2007
การผสมปุ๋ยใช้เอง
Ref :www.doae.go.th
ปัจจุบันแม้ว่าจะมีปุ๋ยสำเร็จรูปวางจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดทั่วๆไปแต่มักจะมีราคาแพง และขาดแคลนอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะปุ๋ยเคมีสูตรที่มีการใช้มากๆ เช่น ปุ๋ยเคมี สูตร 16 – 20 – 0, 16 – 16 – 8, 15 – 15 - 15, 13 – 13 - 21 และ12 – 24 - 12 เป็นต้น ดังนั้นการผสมปุ๋ยใช้เองของเกษตรกรเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ และยังทำให้ประหยัดเงินได้อีก 10 - 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เวลาและแรงงานในครัวเรือน ให้เป็นประโยชน์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การผสมปุ๋ยใช้เอง คือ การที่เกษตรกรนำเอาแม่ปุ๋ยชนิดต่างๆมาผสมกันเพื่อให้ได้สูตรตามที่ต้องการ
ก่อนที่เกษตรกรจะผสมปุ๋ยใช้เอง ควรมีความรู้พื้นฐาน ดังต่อไปนี้
สูตรปุ๋ย หมายถึง ปริมาณธาตุอาหารไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P2O5) และโพแทสเซียม(K2O)
ที่มีอยู่ในปุ๋ยคิดเป็นร้อยละโดยน้ำหนักของปุ๋ยทั้งหมดและจะบอกเรียงกันตามลำดับ N-P2 O5 –K2 O เช่น ปุ๋ยสูตร 13-13-21 แสดงว่าปุ๋ยนี้มีธาตุไนโตรเจนร้อยละ 13 ฟอสฟอรัส ร้อยละ 13 และโพแทสเซียมร้อยละ 21 ของปริมาณน้ำหนักตามลำดับ หรืออาจกล่าวได้ว่าปุ๋ยสูตร 13-13-21 จำนวน 100 กิโลกรัมมีธาตุไนโตรเจน จำนวน 13 กิโลกรัม มีธาตุฟอสฟอรัส จำนวน 13 กิโลกรัม และธาตุโพแทสเซียม จำนวน 21 กิโลกรัม
เรโชปุ๋ย หมายถึง ค่าหรือข้อมูลที่บอกสัดส่วนระหว่างปริมาณของธาตุอาหาร ไนโตรเจน(N)
ฟอสฟอรัส(P2O5 ) โพแทสเซียม(K 2 O) อยู่ในสูตรปุ๋ย เช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 จะมีเรโชปุ๋ย 1:1:1 เป็นต้น
อัตราปุ๋ย หมายถึง ปริมารปุ๋ยแต่ละสูตรที่ใส่ให้กับพืชต่อพื้นที่ หนึ่งไร่ หรือต่อหนึ่งต้น หรือปริมาณปุ๋ย
ที่ใช้เป็นกรัมละลายน้ำจำนวนหนึ่งถัง เพื่อใช้รดหรือฉีดให้ทางใบของต้นพืช เช่น ปลูกข้าวใช้ปุ๋ยสูตร 16-20-0 ในนาดินเหนียว อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านรองพื้นก่อนปักดำ
แม่ปุ๋ย หมายถึง ปุ๋ยเคมีที่นำมาใช้ทำปุ๋ยผสมสูตรต่างๆ ผลิตขึ้นมา โดยมีปริมาณธาตุอาหาร
ในสูตรเข้มข้นมาก เช่น ปุ๋ยไดแอมโมเนียมฟอสเฟต (18-46-0) ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรค์ (0-0-60) ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0)
สารตัวเติม หมายถึง สารที่ใช้ในการผสมปุ๋ย เพื่อจะเพิ่มน้ำหนักของปุ๋ยที่ผสมให้ครบร้อยของหน่วย
น้ำหนัก และจะทำให้ได้ปุ๋ยผสมสูตรที่ต้องการ เช่น ดินร่วน ทราย ขี้เลื่อย แป้ง โดโลไมท์ ซิลิก้า และลูกรัง
ขั้นตอนการผสมปุ๋ยใช้เอง
1. กำหนดประเภทและสูตรปุ๋ย : ควรจะพิจารณาว่าต้องการผสมปุ๋ยสูตรอะไรและใช้กับพืชอะไร
ให้สอดคล้องกับหลักทางวิชาการ เช่น ปุ๋ยสูตร 16-16-8 ใช้กับนาข้าว ดินทราย ปุ๋ยสูตร 16-20-0 ใช้กับนาข้าวดินเหนียว เป็นต้น และควรจะคิดด้วยว่าจะต้องใช้ปุ๋ยสูตรที่ต้องการเป็นปริมาณเท่าไร เช่น ทำนาข้าวพันธุ์ไวแสงในดินทราย จำนวน 4 ไร่ คำแนะนำทางวิชาการให้ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ ดังนั้นต้องการใช้ปุ๋ยสูตร 16-16-8 ทั้งหมดคือ 25X4 =100 กิโลกรัม เป็นต้น
2. กำหนดชนิดของแม่ปุ๋ย : ควรมีหลักเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้
2.1 สูตรปุ๋ยและปริมาณธาตุอาหารรวม : ต้องทราบสูตรปุ๋ยที่ต้องการ เพื่อจะดูว่ามีปริมาณ
ธาตุอาหารสูงปานกลาง หรือต่ำ และมีสัดส่วนของปริมาณธาตุอาหารเป็นอย่างไร ทั้งนี้เพื่อจะได้เลือกชนิดแม่ปุ๋ยได้อย่างถูกต้อง เช่น ปุ๋ยผสมสูตร 16-16-8 แม่ปุ๋ยที่น่าเหมาะสม ได้แก่ แม่ปุ๋ยไดแอมโมเนียมฟอสเฟต (18-46-0) ยูเรีย (46-0-0)และแม่ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรค์ (0-0-60) , ปุ๋ยผสมสูตร 8-24-24 แม่ปุ๋ยที่เหมาะสม ได้แก่ แม่ปุ๋ยไดแอมโมเนียมฟอสเฟต (18-46-0) โมโนแอมโมเนียมฟอสเฟต (11-48-0) และแม่ปุ๋ยโพแทสเซี่ยมคลอไรค์ (0-0-60) เป็นต้น
2.2 สมบัติความเข้ากันได้ของแม่ปุ๋ย: แม่ปุ๋ยที่จะนำมาผสมกันต้องผสมกันได้ดีและไม่ทำปฏิกิริยากัน
ความเข้ากันได้ หมายถึง แม่ปุ๋ยหรือวัตถุดิบทุกชนิดที่กำหนดโดยการคำนวณไว้ตามสูตร
เมื่อนำมาผสมกันแล้วจะต้องผสมเข้ากันได้โดยไม่เกิดปฏิกิริยาที่จะทำให้ปุ๋ยที่ผลิตผลิตได้มีคุณภาพไม่เหมาะสม หรือไม่ตรงตามที่ต้องการโดยเฉพาะอย่างยิ่งความชื้นแฉะและจับตัวเป็นก้อนแข็ง สรสิทธิ์ วัชโรทยานและปิยะ ดวงพัตรา (2535) ได้ศึกษาความสามารถความเข้ากันได้ของแม่ปุ๋ยแต่ละชนิด ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แสดงความเข้ากันได้ของแม่ปุ๋ยบางชนิดเมื่อนำมาผสมกัน
2.3 ขนาดของเม็ดปุ๋ย : แม่ปุ๋ยที่ใช้ต้องมีขนาดเม็ดปุ๋ยใกล้เคียงกันและมีการกระจายขนาด
ของเม็ดปุ๋ยที่สม่ำเสมอ เพราะเมื่อนำมาผสมกันแล้วจะได้ปุ๋ยผสมที่มีคุณภาพดี ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการแยกตัวของแม่ปุ๋ยแต่ละตัว เช่น ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรค์ (0-0-60) ชนิดเม็ด จะเหมาะสมกับการนำมาผสมปุ๋ยใช้เองมากกว่าชนิดผง เพราะว่าเมื่อนำมาผสมกับแม่ปุ๋ยชนิดอื่นมักจะตกอยู่ใต้กองและไม่เข้ากัน เป็นต้น
2.4 รูปทางเคมีของธาตุอาหารหลักในแม่ปุ๋ย : ปุ๋ยผสมที่จะผลิตออกมาใช้ต้องทราบว่า
จะนำมาใช้สำหรับพืชกลุ่มใด และควรเลือกแม่ปุ๋ยให้เหมาะสมตามหลักวิชาการ เช่น แม่ปุ๋ยไนโตรเจนที่จะนำมาใช้กับข้าวควรใช้แม่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนในรูป แอมโมเนียมไนโตรเจน (NH 4 -N) หรืออมีดไนโตรเจน ( NH2 –N) เท่านั้น ถ้านำไปใช้กับพืชไร่สามารถใช้แม่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนในรูป แอมโมเนียมไนโตรเจน (NH 4 -N) หรืออมีดไนโตรเจน (NH 2 -N) หรือ ไนเตรทไนโตรเจน (NO3 -N) ได้ เป็นต้น
2.5 ราคาต่อหน่วยน้ำหนักของธาตุอาหารปุ๋ย : ราคาต่อหน่วยน้ำหนักของชนิดแม่ปุ๋ย
ที่จะนำมาผสมกันควรเลือกชนิดที่มีราคาต่อหน่วยน้ำหนักต่ำที่สุด เช่น ปุ๋ยสูตร 21 – 0 - 0 ราคากระสอบละ 250 บาท กับปุ๋ยสูตร 46 – 0 - 0 ราคากระสอบละ 250 บาท เท่ากันควรเลือกใช้แม่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 เนื่องจากเมื่อคิดราคาต่อน้ำหนักธาตุอาหารที่มีอยู่ในแม่ปุ๋ยทั้งสองสูตรแล้วแม่ปุ๋ยสูตร 46 – 0 - 0 ราคากิโลกรัมละ 10.87 บาท ขณะที่แม่ปุ๋ยสูตร 21 – 0 - 0 ราคากิโลกรัมละ 23.81 บาท เป็นต้น
3. การคำนวณสูตรปุ๋ย : ปุ๋ยที่จะใช้ผสมคำนวณมาจากเปอร์เซ็นต์ธาตุไนโตรเจน ธาตุฟอสฟอรัส
และธาตุโพแทสเซียม ที่มีอยู่ในปุ๋ยผสมตามเกรดที่เราต้องการ เช่น
ตัวอย่าง ต้องการปุ๋ยสูตร 16-16-8 จำนวน 100 กิโลกรัม จะต้องใช้แม่ปุ๋ยชนิดต่างๆ อย่างละกี่กิโลกรัม
ชนิดแม่ปุ๋ยที่เหมาะสม คือ
- ไดแอมโมเนียมฟอสเฟต[18-46-0 (DAP)]
- ยูเรีย [46-0-0 (U)]
- โพแทสเซียมคลอไรค์ [0-0-60 (MOP) ]
วิธีการคำนวณ
3.1 คำนวณหาธาตุฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ (P 2 O5 ) ก่อน เนื่องจากแม่ปุ๋ยไดแอมโมเนียมฟอสเฟต
(18-46-0) มีเปอร์เซ็นต์ธาตุฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์(P2 O5~) อยู่ในปุ๋ยสูงกว่าเปอร์เซ็นต์ธาตุไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ (N) มีวิธีคำนวณ ดังนี้
ปริมาณ P2 O5 46 กิโลกรัม ต้องใช้แม่ปุ๋ย DAP = 100 กิโลกรัม
ปริมาณ P2 O5 1 กิโลกรัม ต้องใช้แม่ปุ๋ย DAP = 100 x 1
46 กิโลกรัม
ปริมาณ P2 O5 16 กิโลกรัม ต้องใช้แม่ปุ๋ย DAP = 100 x 16
46 กิโลกรัม
= 34.78 กิโลกรัม
เพราะฉะนั้นต้องใช้แม่ปุ๋ย 18-46-0 (DAP)= 35 กิโลกรัม
3.2 คำนวณหาปริมาณไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ (N) [ ปริมาณที่ต้องการ คือ 16 กิโลกรัม ] มีวิธีการคำนวณ ดังนี้
3.2.1 คำนวณหาปริมาณไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ว่าติดมากับแม่ปุ๋ย DAP ,มีจำนวนเท่าไร ดังนี้
แม่ปุ๋ย DAP จำนวน 100 กิโลกรัม มีปริมาณธาตุ N = 18 กิโลกรัม
แม่ปุ๋ย DAP จำนวน 1 กิโลกรัม มีปริมาณธาตุ N = 18 X 1
100 กิโลกรัม
แม่ปุ๋ย DAP จำนวน 35 กิโลกรัม มีปริมาณธาตุ N = 18 X 35
100 กิโลกรัม
ปริมาณปุ๋ยไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ติดมากับแม่ปุ๋ย DAP = 6.30 กิโลกรัม
3.2.2 คำนวณหาว่าปริมาณธาตุไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ยังขาดอีกเท่าไรจากที่ต้องการ ดังนี้
ต้องการใช้ปริมาณไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ = 16.00 กิโลกรัม
ปริมาณไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ติดมากับปุ๋ย DAP = 6.30 กิโลกรัม
เพราะฉะนั้นยังขาดปริมาณไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ = 9.70 กิโลกรัม
3.2.3 คำนวณหาปริมาณไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ที่ยังขาดจากแม่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ดังนี้
ปริมาณธาตุไนโตรเจน 46 กิโลกรัม ต้องใช้แม่ปุ๋ยยูเรีย = 100 กิโลกรัม
ปริมาณธาตุไนโตรเจน 1 กิโลกรัม ต้องใช้แม่ปุ๋ยยูเรีย = 100 x 1
46 กิโลกรัม
ปริมาณธาตุไนโตรเจน 9.7 กิโลกรัม ต้องใช้แม่ปุ๋ยยูเรีย = 100 x 9.7
46 กิโลกรัม
=21.09 กิโลกรัม
เพราะฉะนั้นจะต้องใช้แม่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) = 22 กิโลกรัม
3.3 คำนวณหาปริมาณธาตุโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ (K2O) [ ปริมาณที่ต้องการใช้ = 8 กิโลกรัม ] ดังนี้
ปริมาณธาตุโพแทสเซียม 60 กิโลกรัม ต้องใช้แม่ปุ๋ย MOP = 100 กิโลกรัม
ปริมาณธาตุโพแทสเซียม 1 กิโลกรัม ต้องใช้แม่ปุ๋ย MOP =100 x 1
60 กิโลกรัม
ปริมาณธาตุโพแทสเซียม 8 กิโลกรัม ต้องใช้แม่ปุ๋ย MOP = 100x8
60 กิโลกรัม
เพราะฉะนั้นต้องใช้แม่ปุ๋ย MOP (0-0-60) = 14 กิโลกรัม
3.4 คำนวณหาน้ำหนักของสารตัวเติม (Filler) ที่ต้องใช้เพิ่มให้ได้ปุ๋ยผสมสูตร 16-16-8 มีน้ำหนักครบ
จำนวน 100 กิโลกรัม ดังนี้
ปุ๋ยผสมสูตร 16-16-8 จำนวน 100 กิโลกรัม มีปริมาณน้ำหนักธาตุอาหารดังนี้
แม่ปุ๋ยสูตร18-46-0 =35 กิโลกรัม+ แม่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 = 22 กิโลกรัม + แม่ปุ๋ยสูตร
0-0-60 = 14 กิโลกรัม รวมเป็น 71 กิโลกรัม เพราะฉะนั้นจะต้องเพิ่มน้ำหนักสารตัวเติม (Filler) จำนวน 100-71 = 29 กิโลกรัม
4. เตรียมเครื่องมือผสมปุ๋ยใช้เอง อุปกรณ์ที่ควรมีไว้ผสมปุ๋ย คือ
4.1 พื้นที่สำหรับผสมปุ๋ย ควรเป็นที่ราบเรียบเสมอและแห้ง หากเป็นไปได้ควรเป็นพื้นซีเมนต์
หรือดินแน่นเรียบ
4.2 พลั่ว หรือจอบ สำหรับตักและคลุกเคล้าผสมปุ๋ย
4.3 เครื่องชั่ง ขนาด 50 กิโลกรัม เพื่อชั่งน้ำหนักของแต่ละแม่ปุ๋ย
4.4 กระสอบปุ๋ย เพื่อเอาไว้ใส่ปุ๋ยที่ผสมได้และขนไปใส่ในไร่นา
4.5 แม่ปุ๋ยเคมีชนิดต่างๆ เช่น
- ปุ๋ยไดแอมโมเนียมฟอสเฟต (18-46-0)
- ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60)
- ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0)
4.6 ตารางกำหนดน้ำหนักแม่ปุ๋ย กรณีที่ใช้ปุ๋ยสูตรทั่วๆไป (ตามรายละเอียดภาคผนวก)
5. วิธีการผสมปุ๋ยใช้เอง: ควรปฏิบัติดังนี้
5.1 เลือกสูตรและปริมาณที่ต้องการใช้ปุ๋ยนั้นๆ เช่น ต้องการใช้ปุ๋ยสูตร 16-16-8 เพื่อปลูกข้าว
ในนาดินทราย จำนวน 100 กิโลกรัม เป็นต้น
5.2 หาน้ำหนักแม่ปุ๋ยให้สอดคล้องกับสูตรและปริมาณที่ต้องการ จากตารางกำหนดน้ำหนัก
แม่ปุ๋ย หรือจากการคำนวณไว้
5.3 ชั่งน้ำหนักแม่ปุ๋ยแต่ละชนิดจากข้อ 2 เช่น ปุ๋ยสูตร 16-16-8 จำนวน 100 กิโลกรัม จะต้องใช้แม่ปุ๋ย
สูตร 18-46-0 จำนวน 35 กิโลกรัม แม่ปุ๋ยสูตร 0-0-60 จำนวน 14 กิโลกรัม และแม่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 จำนวน 22 กิโลกรัม มาผสมรวมกันเป็นต้น
5.4 นำแม่ปุ๋ยแต่ละชนิดที่ได้ชั่งน้ำหนักไว้แล้วเทลงพื้นที่เรียบและแห้ง โดยควรนำเอาแม่ปุ๋ยที่ต้องใช้
ในปริมาณที่มากที่สุดเทไว้ชั้นล่างสุด ชั้นถัดมาใช้แม่ปุ๋ยที่ต้องการปริมาณปานกลางเทลงไป แล้วชั้นสุดท้ายควรเป็นแม่ปุ๋ยที่ใช้ในปริมาณต่ำสุด ตามลำดับ
5.5 ใช้จอบและพลั่ว ผสมคลุกเคล้าแม่ปุ๋ยแต่ละชนิดในกองให้เข้ากันเป็นอย่างดี
5.6 ตักปุ๋ยผสมใส่กระสอบ เพื่อขนย้ายไปใส่ในสวนต่อไป
5.7 ใส่ปุ๋ยผสมเพาะปลูกพืชตามปกติ
ข้อดีของการผสมปุ๋ยใช้เอง
1. ประหยัดค่าใช้จ่ายลง เช่น เกษตรกรต้องการใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 จำนวน 1,000 กิโลกรัม
เมื่อผสมใช้เองจะมีต้นทุน ดังนี้ เป็นค่าแม่ปุ๋ยสูตร 18-46-0 จำนวน 330 กิโลกรัม เป็นเงิน 2,640 บาท แม่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 จำนวน 200 กิโลกรัม เป็นเงิน 1,400 บาท และแม่ปุ๋ยสูตร 0-0-60 จำนวน 250 กิโลกรัม เป็นเงิน 1,250 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,290 บาท ดังตาราง
เลขที่
แม่ปุ๋ย
น้ำหนัก (กิโลกรัม)
ราคา (บาท/กก.)
เงิน (บาท)
1.
18-46-0
330
8.0
2,460
2.
46-0-0
200
7.0
1,400
3.
0-0-60
250
5.0
1,250
รวม
780
-
5,290
แต่ถ้าซื้อปุ๋ยเคมีสำเร็จรูปสูตร 15-15-15 จำนวน 1,000 กิโลกรัม ในท้องตลาด 8,000 บาท
เพราะฉะนั้นการผสมปุ๋ยใช้เองจะประหยัดเงินได้ จำนวนเท่ากับ 8,000-5,290 =2,710 บาทต่อ 1,000 กิโลกรัม
1. สามารถมีปุ๋ยสูตรต่างๆตามที่ต้องการใช้ได้เกือบทุกหลักสูตร
2. ตัดปัญหาเรื่องการต้องการปุ๋ยปลอม หรือปุ๋ยด้อยมาตรฐานมาใช้
3. เกษตรกรมีปุ๋ยสูตรตามที่ต้องการได้ทันเวลาใช้
ข้อจำกัดของการผสมปุ๋ยใช้เอง
1. เมื่อนำแม่ปุ๋ยมาผสมรวมกันแล้วจะชื้นง่าย และควรใช้ให้หมดภายใน 15 วัน
2. เกษตรกรต้องเสียเวลาและแรงงานเพิ่มขึ้น จาการศึกษาพบว่าการผสมปุ๋ยให้ได้สูตรต่างๆ
จำนวน 500 กิโลกรัม จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
3. แหล่งจำหน่ายแม่ปุ๋ยเคมียังมีจำนวนน้อยและหาซื้อได้ลำบาก นอกจากนี้การกำหนดราคา
ของแม่ปุ๋ยยังขึ้นอยู่กับพ่อค้านำเข้าส่วนใหญ่
4. ความน่าใช้และความสวยงามของแม่ปุ๋ยผสมเอง มักจะด้อยกว่าปุ๋ยเคมีสำเร็จรูป
Labels: Agri and Fishery, การเกษตร
Monday, August 6, 2007
Asia's rich and powerful turn to ET for advice
04/08/2007 by Daily Telegraph
From the brutal generals who rule Burma to Thaksin Shinawatra, the new owner of Manchester City, when Asia's rich and powerful need advice they travel to Rangoon to see a soothsayer called ET.
A tiny, hunched, deaf-mute in her mid-40s, her real name is E Thi but, as her sister explained, she is universally known by a nickname which refers to her resemblance to Steven Spielberg's Extra Terrestrial.
She is said to be a key adviser of General Than Shwe, the leader of the military junta, who recently relocated Burma's capital for unknown reasons. Many believe that fortune tellers had their say in the affair.
Mr Shinawatra, who bought Manchester City Football Club last month, consulted her shortly before he was deposed as Thailand's prime minister last year. She is said to have told him to remain outside Thailand between September 8 and 22 to avoid bad luck.
If so, the advice was only half good. He was deposed by a military coup while he prepared to give a speech in New York on September 21.
Fortune tellers are enormously popular in this region, and ET's skills put her at the top of her profession.
The Daily Telegraph was lucky to get an appointment. ET was block-booked for the following two days by the Indonesian embassy on behalf of a visiting government minister. According to her sister, who acts as diary secretary and translator, Asian embassies - and their governments - are among her best clients.
When ET rushed into the room, took up a pen in her crooked fist and began scrawling prophesies, she did not disappoint. First she wrote the number 89702795, stating that it was the serial number of a $100 bill in my wallet.
Anyone in Rangoon who can afford her rates of £35 for a 30-minute session has a wallet full of dollars, but when there proved to be a note with the number 89702750 it seemed like a good start with just two digits wrong. For her next trick she accurately named the place where I was born.
It is not known whether General Sonthi, who toppled Mr Thaksin in last September's coup, took the example of Thailand's 1991 coup leaders by consulting ET first. But he is certainly superstitious.
His lucky number is nine and he announced his take-over at 9.39am.
The Burmese junta also places great importance on the number nine. In 1990 they held elections on 27 May (because two plus seven equals nine), but it did not help them. Aung San Suu Kyi's National League for Democracy won a landslide, although the result was disregarded and the Nobel Peace Prize winner is under house arrest.
When the junta inaugurated their new capital at Naypyidaw in 2005 it was on an auspicious date amid a welter of lucky numbers. Last year when a Burmese mystic foresaw that Naypyidaw would crumble within two years the authorities arrested him.
In 1970 they moved the traffic from the left to the right hand side of the road on a fortune teller's say so.
Such superstition is common throughout Asia, whether in Roman Catholic Philippines, or Muslim Indonesia or Buddhist Thailand and Burma. In April the region's richest woman Nina Wang died in Hong Kong and left £2 billion to her fortune teller.
Last year in Hindu Nepal, the unlucky King Gyanendra took his fortune tellers' advice and stayed away from his capital as the country was rocked by demonstrations. After 19 days of crisis he was forced to give up his absolute powers.
ET concluded our meeting with some encouraging remarks about my financial prospects and then suddenly, as if shocked by an ill omen, leapt to her feet and scuttled from the room as abruptly as she had entered.
Her sister apologised profusely as I returned to my stash of dollars to pay her handsome fee.
Labels: Life Style, အေထြေထြ
ျမန္မာတိုႛ ေနအိမ္
ဴမန္မာႎိုင္ငံတၾင္ ဝၝး၊ သက္ကယ္ႎႀင့္ ဓနိ ေပၝသဴဖင့္ အိမ္ေဆာက္ေသာ အခၝ ေအာက္အရပ္တၾင္ ဝၝးအိမ္၊ ဝၝးဳကမ္း၊ ဓနိမိုး၊၊ အညာအရပ္တၾင္ ဝၝးအိမ္၊ ဝၝးဳကမ္း၊ သက္ကယ္မိုး အိမ္မဵားကို ေဆာက္လုပ္ ေနထိုင္ ဳကပၝသည္။ မိုးမဵား သဴဖင့္ အိမ္ကို ေဴမမႀ ဴမၟင့္၍ အဆင့္ ဴပႂလုပ္ ေနရသည္။ အိမ္ႎႀင့္ တၾဲလဵက္ မီးဖိုခန္း ဴပႂလုပ္ရန္ အဖီခဵသည္။ ေရအိုး ထားရန္ ခန္းဴပင္ ထုတ္သည္။ ဆင္း၊ တက္ရန္ ေလႀကား တပ္သည္။ ေရခဵႂိးခန္းႎႀင့္ အိမ္သာကို အိမ္ႎႀင့္ တပၝတည္း ထားေလ့ မရႀိ။
အိမ္ေဆာက္ေသာ အခၝ သံုးပင္ ႎႀစ္ခန္း ေဆာက္သည္၊၊ အိမ္တိုင္ ထူလ႖င္ ဦး႟ူ၊ ဳကငႀာန္း၊ ေညာင္ရန္း၊ သေဴပ၊ ရေဝ၊ ဂုပၰီးဟု အစဥ္လိုက္ ထူသည္။ (ပံုကို ဳကည့္ပၝ)။
အိမ္ ေလႀကား ထစ္ကို စံု, မတတ္၊ မ, သာတတ္သည္။ ႟ၾာကို ဴခံပတ္ ဝိုင္း၍ ကာရံသည္။
Ref : by Dr. Than Tun @ http://www.myanmarisp.com/History/his0011/
Labels: အေထြေထြ
Saturday, August 4, 2007
Six Sense - Can animals predict death?
In July 2007, a fascinating story emerged in the New England Journal of Medicine about a cat that could "predict" the deaths of patients in a nursing home several hours before they died.
Oscar, a cat adopted by the staff of the Steere House Nursing and Rehabilitation Center in Providence, R.I., has at least 25 successful predictions, in which patients died hours after the cat sat down by their beds. After the nursing home's staff caught on to Oscar's ability, they began alerting families whenever the cat took up his post next to a patient. Most families tolerate or even welcome his presence, though Oscar becomes upset if forced out of the room of a dying patient, meowing outside the door.
Image courtesy Anna Humphreys/stock.xchng
Cats are normally associated with being aloof and independent.
Do they have a sixth sense regarding imminent death?
How does Oscar do it? Is it a "sixth sense," a unique scent he smells or something else? Animal experts have put forth a variety of explanations, though most agree that it likely has to do with a specific smell produced by dying patients. That is, people who are dying emit certain chemicals that aren't detectable by other humans but that may pique Oscar's heightened sense of smell. An expert on felines said that cats can sense sickness in their human and animal friends [Source: BBC News]. Jacqueline Pritchard, a British animal expert, told BBC News that she was certain that Oscar was sensing vital organs shutting down [Source: BBC News].
Full Story : http://science.howstuffworks.com/pet-sixth-sense.htm
Read More......
Labels: Dhamma - Beliefs
Friday, August 3, 2007
ญี่ปุ่นโชว์ตู้เย็นหลอดไฟแอลอีดีลดแบคทีเรีย
มัตสึชิตะอิเล็กทริกอินดรัสเทรียลโชว์ตัวตู้เย็นรุ่นใหม่ล่าสุด นำเอาหลอดไฟแอลอีดีมาประยุกต์ใช้จนสามารถพัฒนาเป็น
เทคโนโลยีลดการเกิดแบคทีเรียในตู้เย็นได้สำเร็จ ระบุว่าจะสามารถ
วางตลาดได้ในช่วงเดือนตุลาคม
ดึงหลอดไฟแอลอีดีช่วยลดแบคทีเรียในตู้เย็น
หลอดไฟแอลอีดีสีฟ้าและแผ่นกรองซิลเวอร์ไอออน
Compact-big
มัตสึชิตะ (Matsushita Electric Industrial) ให้ชื่อเรียกตู้เย็นรุ่นนี้ว่า
"Compact-big" เป็นตู้เย็น 6 ประตูความจุสูงที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
เพื่อประหยัดเนื้อที่ใช้สอย ได้รับการการันตีว่าเป็นตู้เย็นที่ติดตั้ง
เทคโนโลยีลดอัตราการเกิดแบคทีเรียรุ่นแรกของโลก เทคโนโลยีดังกล่าวประกอบด้วยการนำแผ่นกรองซิลเวอร์ไอออน (silver ion filter) และหลอดไฟแอลอีดีชนิดสีฟ้า จากการทดสอบพบว่าทั้งสองส่วนประกอบ
สามารถลดการเกิดแบคทีเรียในตู้เย็นได้ถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์
มัตสึชิตะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดการจำหน่ายใดๆนอกจากกำหนด
การที่วางไว้ในช่วงเดือนตุลาคม ยังไม่มีรายงานด้านราคาในขณะนี้
ข่าว : CyberBiz
Labels: Technology, เทคโนโลยี
Thaksin to be charged over Burma loan
by SURASAK GLAHAN - Bangkok Post
The Assets Scrutiny Committee (ASC) yesterday agreed to press criminal charges against Thaksin Shinawatra for abuse of his position in ordering an increase in the amount of the ExportImport Bank’s soft loan to Burma.
Mr Thaksin’s interference in the issue was aimed at benefiting his family’s satellite and broadband business, ASC spokesman Sak Korsaengruang said.
‘‘Mr Thaksin is charged with wrongdoing in implementing this policy to seek benefit for his family business. This was his abuse of power,’’ he said.
There was strong evidence Mr Thaksin forced then foreign minister Surakiart Sathirathai and top Foreign Ministry officials to boost the amount of the soft loan to the Burmese government from three to four billion baht, said ASC member Viroj Laohaphan, chairman of the case fact-finding team.
The additional money was approved for the Burmese government to develop telecommunications facilities, including buying goods and services from the satellite broadband and fibre-optic firm Shin Satellite Co, which was owned by Mr Thaksin’s family, said Mr Viroj.
The Thai government earlier agreed on a three-billion-baht loan to Burma only for development of basic infrastructure, including road links with Thailand.
Mr Surakiart and senior officials at the East Asian Affairs Department opposed the increase in loan size, said Mr Viroj, citing both written and verbal evidence that his team gathered from questioning the ex-minister and officials.
Mr Surakiart opposed the request for the increase because it violated the Bagan Declaration, a regional economic strategy signed by the Thai, Burmese, Lao and Cambodian governments, which excludes development of the telecom sector, said Mr Viroj. The declaration only allows lending for other purposes such as trade, investment, agriculture, industry and regional transport links.
Foreign Ministry officials objected to boosting the loan amount on the grounds that it would make Thailand a target of international criticism for helping the Burmese junta, said Mr Viroj.
They told Mr Thaksin that Thailand’s approval would damage the country because it would obstruct US-led attempts to press Burma to restore democracy via economic sanctions.
However, Mr Thaksin intruded upon the process by ordering the ministry to approve the request, he added.
In a letter dated March 2, 2004, submitted to the Burmese government informing it of approval of the loan increase, Mr Surakiart told the Burmese government that Mr Thaksin had ordered the ministry to inform Burma specifically that Mr Thaksin was the one who had given the go-ahead.
Mr Sak said the former premier would be charged with criminal offences under Articles 152 and 157 of the Criminal Code, each stipulating imprisonment of one to ten years and a fine of up to 20,000 baht.
The ASC next week will appoint an inquiry team to handle the next stage, which includes Mr Thaksin’s defence, before deciding whether to file the case with the public prosecutor, Mr Sak said.
The ASC yesterday also filed charges with the police against four individuals who refused to provide information on Shin Corp shares to the panel.
They were Mr Thaksin’s wife Khunying Potjaman, their son Panthongtae, his wife’s secretary Karnchanapa Honghern and Bussaba Damapong; the wife of Khunying Potjaman’s stepbrother Bannapot Damapong.
The panel also agreed to allow an inquiry team, led by Banjerd Singkhaneti and Kaewson Athipho, to broaden its inquiry against Mr Thaksin, Mr Sak said.
Labels: History - Politics
Thursday, August 2, 2007
ကင္းမြန္ငါးဖမ္းလုပ္ငန္း နွင့္ ကမာၻတဝန္းပူေႏြးလာမွု
ယေန့လူေျပာမ်ားေနၾကတဲ့ ကမာၻတဝန္းပူေႏြးလာမုျဖစ္စဥ္(Global Warming Effects)ဟာ ေယဘူယ်အားျဖင့္ မေကာင္းဘူးဆိုတာ သိထားၾကပါတယ္။ ဒါေပမယ့္ Cephalopods ကင္းမြန္၊ ျပည္ၾကီးငါး ေတြအတြက္ေတာ့ ေကာင္းပါတယ္တဲ့ဗ်ား။
ေကာ့ေသာင္းမွာ အရင္တုန္းကထက္ ကင္းမြန္ေလွမ်ားလာတာေတာ့ ျမင္ေနရတာပဲ။ (သူတုိ့ကုိစားတဲ့ငါးၾကီးေတြ နဲသြားတာေၾကာင့္လုိ့လဲ ေျပာၾကတယ္။)
An Abundance of Calamari?
According to many scientists, global warming is having a profound effect -- an often negative one -- on animal species. For squid, though, the phenomenon may actually be more of a blessing than a curse. Research has shown that the squid's digestive juices are more productive in warmer waters, and as a result, squid tend to grow larger and more plentiful as water temperatures rise. As evidence, fishermen off the coasts of New Zealand and Australia say they have been catching greater numbers of squid in recent years. Not all squid seem to benefit from global warming, though. Those that live in the colder depths may not be able to survive in balmier waters, scientists say.
Labels: Agri and Fishery, ေရလုပ္ငန္း
Ice Blocks Used to Chill Buildings
July 16, 2007 Ref : www.Howstuffworks.com
As the summer swelters on, skyscrapers and apartments around the city will be cranking up the air conditioning and pushing the city's power grid to the limit.
But some office towers and buildings have found a way to stay cool while keeping the AC to a minimum — by using an energy-saving system that relies on blocks of ice to pump chilly air through buildings.
The systems save companies money and reduce strain on the electrical grid in New York, where the city consumes more power on hot summer days than the entire nation of Chile.
It also cuts down on pollution. An ice-cooling system in the Credit Suisse offices at the historic Metropolitan Life tower in Manhattan is as good for the environment as taking 223 cars off the streets or planting 1.9 million acres of trees to absorb the carbon dioxide caused by electrical usage for one year.
Labels: Technology
Ten Burmese Migrants Dead in Ferry Sinking, ေကာ့ေသာင္းအနီး ျမန္မာအလုပ္သမားမ်ား ေလွေမွာက္ေသဆုံး
By Saw Yan Naing Irrawaddy August 1, 2007 ဧရာ၀တီ ၾသဂုတ္ ၁၊ ၂၀၀၇
Ten Burmese migrant workers died after the small ferry boat they were on was overturned by heavy surf off the coast of southern Thailand’s Ranong Province, according to sources in the area.
ပင္လယ္လိႈင္းႀကီးသည့္အတြက္ ခရီးသည္တင္ေလွတစင္း တိမ္းေမွာက္ရာတြင္ ျမန္မာႏိုင္ငံသား အလုပ္သမား ၁၀ ဦး ေသဆုံးေၾကာင္း သိရသည္။
The ferry and its 25 passengers—including the captain—left the Burmese border town of Kawthaung and made its way illegally toward Ranong on Monday night.
“Eight people died before we could get to the ferry,” a resident of Ranong who assisted in the rescue of the ferry passengers told The Irrawaddy on Wednesday. “Two others, a mother and child, died after their rescue.”
The resident said the ferry might have capsized because it left so late at night but added: “The ferry was also overweight and the weather was not good when they left.”
The small ferry normally carries on 10 to 15 passengers when crossing from Kawthaung to Ranong, the source said.
Most passengers were ethnic Mon returning to their jobs at a rubber plantation in Hat Yai city in Songkhla Province after visiting their homes in Mon State.
A resident in Kawthaung said the ferry passengers were followed by Burmese soldiers stationed in the area after they suspected illegal activity.
Local Thai authorities are now looking for the surviving 15 passengers, who the source in Ranong said are hiding in the area.
In June, about 200 Burmese migrant workers—mostly Chin nationals trying to get to Malaysia to look for work—were arrested by Burmese soldiers after the launch of an anti-human trafficking program in Kawthaung.
Local sources say an estimated 500 Burmese migrant workers illegally cross the border everyday from Kawthaung, a major point of departure for Burmese migrants trying to find work in neighboring countries such as Thailand and Malaysia.
တနၤလာေန႔ညက ေလွသူႀကီးအပါအ၀င္ လူ ၂၅ ဦးသည္ ျမန္မာႏိုင္ငံ ေကာ့ေသာင္းဘက္မွ ထိုင္းႏိုင္ငံ ေတာင္ပိုင္း ရေနာင္း ၿမိဳ႕သို႔ ေလွျဖင့္ တရားမ၀င္ ၀င္ေရာက္ရန္ႀကိဳးစားရာမွ ေလွတိမ္းေမွာက္ခဲ့ျခင္း ျဖစ္သည္ဟု ေဒသခံမ်ားက ေျပာသည္။
“ေလွကို မဆယ္ႏိုင္ခင္မွာ လူ ၈ ဦး ေသသြားတယ္၊ တျခား သားအမိ ၂ ဦးကေတာ့ ကယ္ဆယ္ခဲ့ၿပီးမွ ေသသြားတာ”ဟု ရေနာင္းၿမိဳ႕ေန ခရီးသည္ေလွ ကယ္ဆယ္ေရးအဖြဲ႕၀င္ တဦးက ေျပာသည္။
“အဲဒီေလွ ေမွာက္တာက ရာသီဥတုမေကာင္းတဲ့အခ်ိန္ ညဘက္မွာ ထြက္လာတဲ့အျပင္ ခံႏိုင္၀န္ထက္ပုိတဲ့ အေလးခ်ိန္ကို တင္လာလို႔ေမွာက္ရတာ”ဟုလည္း ၎က ေျပာသည္။
ပုံမွန္အားျဖင့္ ေကာ့ေသာင္းမွ ရေနာင္းၿမိဳ႕ သို႔ ကူးသည့္ ယင္းခရီးသည္တင္ေလွမ်ားသည္ လူ ၁၀ ဦးမွ ၁၅ ဦးအထိသာ တင္ေဆာင္သည္ဟုလည္း ဆုိသည္။
ေလွေပၚတြင္ ပါလာသည့္ လူအမ်ားစုသည္ မြန္ျပည္နယ္ရွိ ၎တို႔ ေနအိမ္မ်ားသို႔ အလည္သြားရာမွ ဆန္ခလ ခ႐ိုင္ ဟတ္႐ိုင္ၿမိဳ႕ရွိ ရာဘာ စိုက္ပ်ိဳးေရးလုပ္ငန္းခြင္သို႔ ျပန္လာၾကသူမ်ားျဖစ္ေၾကာင္း သိရသည္။
တရားမ၀င္ လႈပ္ရွားေနသူမ်ားဟု သံသယရွိ၍ ယင္းေလွစီးခရီးသည္မ်ားေနာက္သို႔ ျမန္မာစစ္တပ္က ဖမ္းဆီးရန္ လိုက္ခဲ့ေသးသည္ဟုလည္း အထက္ပါ ေဒသခံကေျပာသည္။
ပုန္းေရွာင္ေနသူ ၁၅ ဦးကို ေဒသအာဏာပိုင္မ်ားက ရွာေဖြလ်ွက္ရွိသည္ဟု ရေနာင္းၿမိဳ႕ခံတဦးကလည္း ေျပာျပသည္။
ၿပီးခဲ့သည့္ ဇြန္လ အတြင္းကလည္း မေလးရွားႏိုင္ငံသို႔ အလုပ္ရွာေဖြရန္သြားေရာက္မည့္ ခ်င္းတိုင္းရင္းသား အမ်ားစု ပါ၀င္ေသာ တရားမ၀င္အလုပ္သမား ၂၀၀ ခန္႔ကို ျမန္မာစစ္တပ္က ဖမ္းဆီးခဲ့သည္။
ယင္းဖမ္းဆီးမႈသည္ ေကာ့ေသာင္းၿမိဳ႕၌ လူကုန္ကူးမႈ တိုက္ဖ်က္ေရး အစီအစဥ္စၿပီးေနာက္ပိုင္းတြင္ ျဖစ္သည္။ေဒသခံမ်ား၏ ေျပာျပခ်က္အရ ေန႔စဥ္ လူ ၅၀၀ ခန္႔သည္ အလုပ္အကိုင္ ရွာေဖြရန္အတြက္ ျမန္မာႏိုင္ငံ ေကာ့ေသာင္းၿမိဳ႕ ဘက္မွ နယ္စပ္ျဖတ္ေက်ာ္၍ ထိုင္းႏုိင္ငံႏွင့္ မေလးရွားႏုိင္ငံမ်ားသို႔ သြားေရာက္လ်ွက္ရွိေၾကာင္း သိရသည္။
Labels: Local, ระีนอง - เกาะสอง, ေဒသသတင္း
Kawthaung Glimpse 2008
Blog Archive
-
▼
2007
(201)
-
▼
August
(25)
- ภาพใหญ่-ภาพเล็ก : ในเรื่องของการลงทุน
- การโทรคมนาคมไทยยังไม่เสรี (ได้ง่ายๆ)
- Megaupload Bypass - Megaupload SX adds-in
- โทรศัพท์ตรวจน้ำตาลในเลือด
- Top five reasons to buy Thai stocks
- จุดธูปกี่ดอก บอกอะไรบ้าง?
- အခြန္ေလွ်ာ့ရန္ ျမန္မာကုန္သည္မ်ားက ထိုင္းအစိုးရကို ...
- ေရထြက္ျပည္ပပုိ႔ကုန္ကဏန္း
- How to Hide a Folder Using Notepad
- พม่าผลิตปลาไหลจนล้นตลาดส่งจีนราคาหลุ่น
- เหนือฟ้ายังมีฟ้า
- เรื่องจริง ธุรกิจ Work @ Home (ทำงานทางเน็ตอยู่บ้าน)
- တ႐ုတ္ရာဘာ၀ယ္ယူသူမ်ားသည္ထုိင္းႏုိင္ငံမွ၀ယ္ယူဖြယ္ရ
- ျမန္မာႏွင့္ ထုိင္းႏုိင္ငံတို႔သည္ နယ္စပ္တစ္ေလွ်ာက္ ...
- Snapshot of နယ္စပ္ကုန္သြယ္ေရး ၂၀၀၇
- ျမန္မာ-ထုိင္းကုန္သြယ္ေရး
- การผสมปุ๋ยใช้เอง
- Asia's rich and powerful turn to ET for advice
- ျမန္မာတိုႛ ေနအိမ္
- Six Sense - Can animals predict death?
- ญี่ปุ่นโชว์ตู้เย็นหลอดไฟแอลอีดีลดแบคทีเรีย
- Thaksin to be charged over Burma loan
- ကင္းမြန္ငါးဖမ္းလုပ္ငန္း နွင့္ ကမာၻတဝန္းပူေႏြးလာမွု
- Ice Blocks Used to Chill Buildings
- Ten Burmese Migrants Dead in Ferry Sinking, ေကာ့ေသ...
-
▼
August
(25)
Visitors
Visitor Link
Misc Synopsis
- ကံေကာင္းေသာ လူငယ္မ်ားသည္ သူ႔ဘဝတြင္ "ဘယ္စာကိုဖတ္၊ ဘယ္စာကို မဖတ္နဲ႔" ဟူေသာ အၾကံေပးခ်က္မ်ိဳး ရ႐ွိခဲ့၏။ ကံဆိုးေသာ လူငယ္မ်ားသည္ ဘာအၾကံေပးခ်က္မွ မရွိပါ။ ထိုအမ်ိဳးအစားထဲမွ စိတ္ဓာတ္အင္အား ျပည့္စံုေသာ လူငယ္မ်ား၊ ႀကိဳးစားလိုေသာ လူငယ္မ်ား၊ ႐ွာေဖြစူးစမ္းလိုေသာ လူငယ္မ်ားသည္ မည္သူ႔အကူအညီမွ် မပါဝင္ဘဲ မိမိတို႔ဘာသာ သင့္ေတာ္ရာရာကို ေ႐ြးခ်ယ္ သြားတတ္ၾကသည္။ တခ်ိဳ႔ကေတာ့ သူတို႔ ဘာကိုလိုခ်င္မွန္း သူတို႔ကိုယ္တိုင္ မသိသူမ်ား ျဖစ္ၾကပါသည္။ ေလာကတြင္ မိမိဘာ လိုခ်င္သည္ဟု မွန္ကန္စြာသိ၍ မိမိ လိုခ်င္ေသာ အရာကို ရေအာင္ယူႏိုင္ေသာ လူငယ္မ်ားလည္း ႐ွိၾကသည္။ လူတေယာက္ မိမိဘဝတြင္ ဘာလိုခ်င္သည္ ဟု အတိအက် သိလာ ရန္ စာအုပ္မ်ားစြာက တြန္းအားေပးႏိုင္သည္ဟု ကြၽန္မ ထင္ပါသည္။ ဂ်ဴး
- ဂန္ဘာရီနဲ ့နအဖ တို ့ရဲ ့ကေလးကလား လုပ္ရပ္မ်ား - နဖအ က ေဒၚစုကို ေနအိမ္မွာအက်ယ္ခ်ဳပ္ခ်ထားတာ တကမၻာလံုးသိပါတယ္။ ဘယ္လိုေနအိမ္မွာအက်ယ္ခ်ဳပ္ခ်ထားလဲဆိုရင္ အိမ္ေရွ ့တခါးကိုေသာ့နဲ ့ခတ္ထားတယ္။ ေဒၚစုျခံ၀န္းထဲမွာ စစ္တပ္ခ်ထားတယ္။ ေဒၚစုကို ေတြ ့ခ်င္တယ္တဲ့သူေတြက သူတို ့က ၀င္ေစဆိုတဲ့အမိန္ ့ရမွာ၀င္လို ့ရတယ္။ ေဒၚစု ရဲ က်မာေရးကို တာ၀န္ခံထားတဲ့ေဒါက္တာတင္မ်ိဳး၀င္းေတာင္ ၀င္ေတြ ့ျခင္တိုင္း၀င္ေတြ ့လို ့မရဘူး။ သန္းေရြ ရဲ ့ခြင့္ျပဳခ်က္ရမွေဒၚစုကိုေတြ ့ခြင့္ရတယ္။ ေဒၚစုေရွ ေနက ေဒၚစုကို ေတြ ့ျခင္တိုင္းေတြ ့လို ့မရဘူး။ အန္အဲလ္ဒီစီအီစီ ဆိုရင္လည္း ေဒၚစုကို အိမ္မွာေတာင္ေတြ ့ခြင့္မရၾကဘူး။ ဒီလို အေျခအေနမ်ိဳးမွာ ဂန္ဘာရီ ကိုယ္စားလွယ္နဲ ့ နအဖ ကိုယ္စားလွယ္က ေဒၚစုအိမ္ေရွ ့ကိုသြားျပီး ေဒၚေအာင္ဆန္းစုၾကည္ ဂန္ ဘာရီက ေတြ ့ျခင္လို ့ပါလို ့ အိမ္ေရွ ့ကေန ေလာစပီကာနဲ ့သြားေအာ္ေနတာ အေတာ့ကို ကေလးကလားဆန္ျပီ အရူးထတဲ့လုပ္ရပ္ျဖစ္ပါတယ္။ က်ေနာ္ေမးျခင္တာက သူတို ့မွာ ေဒၚစုအိမ္ကိုခတ္ထားတဲ့ေသာ့ရိွရဲ ့သားနဲ ့ဖြင့္ျပီး ၀င္သြားလိုက္ၾကပါလား။ အိမ္ကိုေသာ့ခတ္ထားတဲ့သူက တခါးဖြင့္ေပးပါလို ့ေအာ္ေနတာကေတာ့ အေတာကိုညဏ္နည္းလွၾကပါတယ္။ Ko Moe Thee Blog
- အဲဒီသ၀ဏ္လႊာနဲ႔ ပတ္သက္ၿပီး မေလးရွား၀န္ႀကီးခ်ဳပ္ ဘာဒါ၀ီက ျမန္မာႏိုင္ငံအေနနဲ႔ အာဆီယံရဲ႕ ျပည္တြင္း ေရး မစြက္ဖက္ေရးမူကို အကာအကြယ္မယူသင့္ဘူးလို႔ မိန္႔ခြန္းမွာ ထည့္သြင္းေျပာၾကားသြားပါတယ္။ ဒါ့အျပင္ အာဆီယံရဲ႕ အဓိကအဖြဲ႔၀င္ႏိုင္ငံျဖစ္တဲ့ မေလးရွားႏိုင္ငံက အဖြဲ႔ႀကီးရဲ႕ အဓိကမူတရပ္ျဖစ္တဲ့ ျပည္တြင္းေရး မစြက္ဖက္ေရးမူကို ျပန္လည္အနက္အဓိပၸၸၸၸၸါယ္ ဖြင့္ဆိုသင့္ၿပီလို႔ ေျပာၾကားခဲ့ပါတယ္။ / Dr.LwanSwe
- ရွစ္ေလးလံုး အေရးအခင္းနဲ႔အတူ နာဂစ္မုန္တိုင္းအေပၚ စစ္အစိုးရ တံု႔ျပန္မႈဟာ ျမန္မာႏိုင္ငံတြင္း မွာရွိတဲ့ အႀကီးမားဆံုး လူ႔အခြင့္အေရး ခ်ိဳးေဖာက္မႈေတြရဲ႕ “နိဂံုး” ျဖစ္မယ္လုိ႔ လူအမ်ားစုက ေမွ်ာ္ လင့္ထားၾကတယ္။ ဒါေပမယ့္ နိဂံုးျဖစ္ျဖစ္၊ မျဖစ္ျဖစ္ ဒီတႀကိမ္ေတာ့ ျမန္မာ့အေရးဟာ ျမန္မာ ႏိုင္ငံသားေတြ (“၈၈မ်ိဳးဆက္” ေက်ာင္းသားေတြဟာ ရဲ၀ံ့စြာနဲ႔ ေရွ႕ကေန ဦးေဆာင္ေနတယ္) တင္ မကေတာ့ဘူး ကုလသမဂၢ လံုျခံဳေရးေကာင္စီနဲ႔ ျမန္မာႏိုင္ငံရဲ႕ အာရွအိမ္နီးခ်င္းႏိုင္ငံေတြရဲ႕ ႏိုင္ငံေရး ဆႏၵေပၚမွာလည္း မူတည္ေနပါတယ္။ အႏွစ္ (၂၀) ဆိုတာ ရွည္လ်ားတဲ့ အခ်ိန္ကာလ ျဖစ္ေပမယ့္ သိပ္ေတာ့ ေနာက္မက်ေသးပါဘူး။ / New Era Journal
- Failed States Index 2008 - အားလံုးေပါင္း ၁၂ ခုရွိတဲ့ စံညႊန္းေတြထဲမွာ ျမန္မာႏိုင္ငံဟာ လူ႔အခြင့္အေရးစံညႊန္းမွာ အဖိႏွိပ္ခံရဆံုး တဖက္စြန္းမွာေရာက္ေနၿပီး ျပည္ပစြက္ဖက္မႈမွာေတာ့ အေစာကေရးသလို အနည္းဆံုးပါ၊ ဒီႏွစ္ခုက အမ်ားဆံုး နဲ႔ အနည္းဆံုး အစြန္းႏွစ္ဖက္ ေရာက္ေနတာကလြဲလို႔ က်န္တာေတြက ထိပ္ဆံုးမေရာက္တေရာက္မွာ။ ၂၀၀၅ တုန္းက ထိပ္ဆံုး ၂၀ ထဲမွာ ျမန္မာမပါဘူး၊ ၂၀၀၆ က်ေတာ့ နံပါတ္ ၁၈ နဲ႔ အေရွ႔တက္လာတယ္၊ ၂၀၀၇ မွာ အဆင့္ ၁၄၊ ေဟာ၊ အခု ၂၀၀၈ မွာ အဆင့္ ၁၂ ျဖစ္သြားၿပီ။ ဒီလို တႏိုင္ငံလံုးခ်ီၿပီး ညံ့ဖ်င္းေနတာ ဦးေဆာင္လမ္းျပေနတဲ့ေခါင္းေဆာင္ တာဝန္မကင္းဘူး၊ ဒါေၾကာင့္ ႏိုင္ငံေတြစာရင္းအျပင္ ေခါင္းေဆာင္ေတြရဲ့ စာရင္းကိုလည္း ျပဳစုထုတ္ျပန္ထားတယ္။ Degolar